วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ฝึก Coach ตัวเอง เพื่อให้ชีวิตตนเองดีขึ้น



          เมื่อพูดถึงคำว่า Coaching เราก็มักจะจินตนาการถึงภาพคนสองคนที่กำลังคุยกัน ให้คำแนะนำ ใช้คำถาม เพื่อให้คิด และนำเอาสิ่งที่คุยกันนั้นไปทำให้ตนเองดีขึ้น แต่ชีวิตเราทุกคนนั้นคงจะหา Coach ไม่ได้กันทุกคนแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำให้ได้ก็คือ การ Coach ตนเอง เพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จให้ได้

เอาเข้าจริง ๆ แล้วคนที่ทำหน้าที่เป็น Coach นั้น ก็เป็นคนที่ช่วยทำให้เราได้คิด ได้ตระหนักว่าอะไรสำคัญ อะไรไม่สำคัญ แต่ก็มีบางคนที่รู้หมดทุกอย่าง รู้ตนเองว่าอะไรสำคัญ รู้ตนเองว่าอะไรที่ไม่ควรทำ รู้ว่าอะไรที่ทำแล้วชีวิตจะดีขึ้น รู้ว่าความสำเร็จจะมาก็ต่อเมื่อเราลงมือทำ ฯลฯ แม้ว่าจะมี Coach มาบอกก็ตาม คนคนนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย เพราะสุดท้ายมันก็อยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้นครับ

อยากจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน อยากรวย อยากเก่ง อยากเรียนหนังสือได้เกรดดี ๆ อยากโน่น อยากนี่ เราจะทำได้ตามเป้าหมายที่เราต้องการได้ก็ต่อเมื่อ เราลงมือทำมันทุกวัน ไม่ใช่แต่คิดอย่างเดียว ต้องลงมือทำด้วย แล้วความสำเร็จจะเป็นของเราแน่นอน

สิ่งที่อยากเอามาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ก็คือ วิธีการ Coach ตัวเอง เพื่อเราเองมีชีวิตที่ดีขึ้น ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในชีวิตได้ง่ายขึ้น และเร็วขึ้น ลองมาดูกันนะครับว่ามีแนวทางอย่างไรบ้าง

- เอาคำว่า “ขี้เกียจ” ออกไปจากตัวเราให้ได้ สิ่งแรกที่จะต้องทำและ Coach ตัวเองให้ได้ก่อนก็คือ การเอาคำว่า “ขี้เกียจ” ออกไปจากพจนานุกรมของตนเองให้ได้ จะต้องไม่มีข้ออ้างว่า ขี้เกียจทำ และห้ามคิดกับตนเองว่า “ขี้เกียจจังเลยวันนี้” หรือมองว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจ เพราะเมื่อไหร่ที่เราคิดแบบนี้ เราก็จะเป็นในแบบที่เราคิด แล้วจะทำให้เราไม่อยากทำอะไรเลย เพราะมีข้ออ้างเสมอว่า “ขี้เกียจ” นั่นเองครับ เคยเป็นมั้ยครับเวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ที่เราจะต้องทำความสะอาดบ้าน แต่เราคิดว่าเราขี้เกียจจังเลย สุดท้ายเราก็มีข้ออ้างที่จะทำไม่ความสะอาดบ้าน ดังนั้นถ้าเราต้องการให้ชีวิตของเราดีขึ้น ไม่ว่าจะในเรื่องอะไรก็ตาม งาน หรือส่วนตัว สิ่งที่เราจะต้องปรับความคิดของเราเองก็คือ หยุดคิดว่าเราขี้เกียจ สิ่งที่จะต้องคิดและทำก็คือ เมื่อคิดว่าจะทำต้องลงมือทำเลย หรือเมื่อไหร่ที่เราวางแผนว่าจะทำอะไรวันไหนเวลาไหนพอถึงเวลาก็ต้องลงมือทำทันที

- อย่าผัดวันประกันพรุ่ง นี่เป็นผลที่ตามมาจากคำว่าขี้เกียจในข้อแรก คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงานนั้น จะเป็นคนที่ไม่เคยผัดวันประกันพรุ่งเลย หรือถ้าเคยก็มีน้อยมาก ๆ เพราะการผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ นั้น มันไม่มีอะไรดีเลย เพราะทำให้เราทำงานไม่สำเร็จตามแผนที่เราต้องการ เราอาจจะรู้สึกสบาย เพราะเลื่อนงานนี้ออกไปก่อน แต่สุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี ถ้ายังไงก็ต้องทำ เราทำแบบสบาย ๆ ไม่ดีกว่าหรือ ดีกว่ามาเร่ง ๆ เอาตอนใกล้ถึงกำหนดส่งงาน มันเหนื่อย เครียด แถมยังทำให้งานออกมาไม่มีคุณภาพอีกด้วยครับ ดังนั้นคนที่อยากประสบความสำเร็จให้ได้ สิ่งที่จะต้อง Coach ตัวเองให้ได้ก็คือ การลงมือทำเดี๋ยวนี้เมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำ

- ต้องสามารถที่จะให้กำลังใจตนเองได้ คนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะต้องมีความสามารถอย่างหนึ่งก็คือ สามารถที่จะให้กำลังใจตนเองได้เสมอ เวลาที่เราทำอะไรผิดพลาดไป หรือท้อแท้ในบางเวลา สิ่งที่เราต้องทำให้ได้ก็คือ การ Coach ตัวเองในมุมของการให้กำลังใจตนเอง การสนับสนุนความคิดความอ่านของตนเองบ้างในบางเวลา คนเราทุกคนไม่สามารถที่จะไปพึ่งพาคนอื่นได้ทุกเรื่องหรอกครับ สิ่งที่เราจะต้องทำให้ได้ก็คือ การมีตนเองยืนเคียงข้างตนเองนี่แหละครับ เมื่อไหร่ที่เราประสบกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย เราอาจจะมีเพื่อนคอยเป็นกำลังใจให้เรา แต่สุดท้ายตัวเราเองนี่แหละที่จะต้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนมุมมองของตนเอง เพื่อน ๆ ไม่สามารถมาเปลี่ยนให้เราได้เลย ถ้าเราไม่คิดจะเปลี่ยน จริงมั้ยครับ

- หาเป้าหมายให้เจอ แล้ว Focus ไปที่เป้าหมายนั้น สิ่งต่อไปที่จะต้องพยายาม Coach ตัวเองก็คือ การถามตัวเองว่าอะไรคือเป้าหมายของเราในปีถัดไป หรือในอีก 3 ปีถัดไป เราต้องจินตนาการให้เห็นภาพตัวเองที่ประสบความสำเร็จในเป้าหมายนั้น ๆ ให้ได้ เพราะถ้าเรามองไม่เห็นภาพนั้น ก็แปลง่าย ๆ ว่าเรายังไม่เห็นเป้าหมายของเรา แล้วเราจะไปสู้เป้าหมายนั้นได้อย่างไร และเมื่อเราเจอเป้าหมายแล้ว สิ่งต่อไปที่จะต้องทำก็คือ การ Focus ซึ่งก็คือ มุ่งมั่น และยึดมั่นในเป้าหมายนั้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง คำว่า Focus นั้น ถ้าจะทำให้เห็นภาพชัดมากขึ้น ให้ลองนึกถึงแว่นขยาย ที่เราเอาไปจ่อกับแดด เพื่อให้แสงแดดผ่านแว่นขยายไปรวมศูนย์ที่กระดาษ ยิ่งทำให้มันเล็กมากเท่าไหร่ พลังก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่นานกระดาษแผ่นนั้นก็ลุกเป็นไฟได้ เช่นเดียวกับการยึดมั่นใจเป้าหมายนั่นเอง การ Focus ไปที่เป้าหมายของเรานั้น ก็คือ การที่เรายึดภาพเป้าหมายนั้นไว้ในใจเสมอ และทำทุกวันของเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ยิ่ง Focus มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นเท่านั้นครับ
ลอง Coach ตัวเองใน 4 ประการข้างต้นดูนะครับ ช่วงนี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ถ้าท่านผู้อ่านสามารถกำหนดเป้าหมายในปีถัดไปได้ชัดเจน ก็สามารถที่จะนำเอาแนวทางข้างต้นไป Coach ตัวเองทุก ๆ วันก็ได้ครับ ถ้าเราทำมันอย่างมีวินัยในตนเอง ไม่ขี้เกียจ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่นานครับ เป้าหมายที่เราฝันไว้ก็จะเป็นจริงได้โดยไม่ยากอะไรเลย

ที่มา : ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

5 สัญญานที่ฟ้องว่าคุณเครียดจากงาน



          รู้ไหมว่าความเครียดส่งผลร้ายต่อสุขภาพเรามากแค่ไหน? หลายคนอาจคิดว่าความเครียดเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน แต่รู้หรือไม่ว่าหากความเครียดเรื้อรัง ปัญหาสุขภาพก็จะตามมาและที่สำคัญมันจะทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ หากคุณยังไม่หยุดเครียด ไม่ว่าจะเป็น ตับทำงานผิดปกติ ระบบไหลเวียนของเลือดผิดปกติส่งผลต่อผิวหนังทำให้หน้าแก่ก่อนวัย มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด อาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ โอ้โห ฟังแล้วคงไม่มีใครอยากเครียด แต่มันก็อดไม่ได้โดยเฉพาะชีวิตที่เราต้องทำงานอย่างหนัก เจอคนหลากหลาย เจอความกดดันหลากประเภท งั้นเรามาเช็คตัวเองกันหน่อยเพื่อให้รู้ทันว่าเรากำลังเครียดจากงานที่เราทำอยู่หรือไม่

1. คุณรู้สึกว่าคุณเริ่มมองโลกในแง่ร้าย
ลองเช็คตัวเองดูว่าคุณเริ่มมองหลาย ๆ อย่างด้านลบไปเสียหมดหรือเปล่า เช่นคิดว่าจะมีคนมาเอาเปรียบตัวเองตลอดเวลา ใครในออฟฟิศหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ก็คิดว่าเขาต้องอยากได้อะไรจากเรา หัวหน้าจ่ายงานให้คนอื่นที่ไม่ใช่เราทำ ก็โทษตัวเองว่าตัวเราขาดประสิทธิภาพ เพื่อนร่วมงานนำเสนอไอเดียผ่านก็คิดว่าเพราะเขาเป็นคนโปรดของเจ้านายถึงผ่าน แบบนี้แสดงว่าคุณกำลังถูกความเครียดจากการทำงานทำร้ายแล้วละ ฉะนั้นลองดึงตัวเองกลับมาตั้งสติ พาตัวเองมองมุมใหม่ ๆ ในด้านบวก ๆ ดูบ้าง จะได้ไม่จมอยู่ในโลกที่มืดดำ ความเครียดจะได้เจือจางลง แล้วคุณจะมีความสุขกับงานมากขึ้น

2. คุณเริ่มบ่นเรื่องในที่ทำงานลงเฟสบุค
จำพวกตั้งสเตตัสกระแหนะกระแหนเพื่อนร่วมงาน จำพวกตัดพ้อตัวเองเพื่อหวังจะเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนร่วมงานหากเขาได้อ่าน จำพวกด่าหัวหน้าออกสื่อ จำพวกบ่นว่างานหนักเหลือเกินฉันทนทำอะไรอยู่ แบบนี้มั่นใจได้เลยว่าคุณกำลังเครียดเรื่องงานจนพาลไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจใครเลยในออฟฟิศ แบบนี้ส่งผลเสียทั้งสุขภาพจิตตัวเอง และคนอื่นที่ได้เห็นโพสของคุณด้วยนะ ปล่อยวางเสียบ้างไม่อย่างนั้นความเครียดเรื้อรังจะถามหาโดยไม่รู้ตัว

3. หงุดหงิดใส่คนรอบข้าง
ถ้าคุณไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ลองถามตัวเองดูว่าเรามักจะหงุดหงิดใส่คนรอบข้างอย่างไม่มีสาเหตุหรือไม่ แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจ ก็ลองสังเกตเพื่อนรอบข้างดูว่า ช่วงนี้พวกเขาทำตัวห่างเหินเฉยชากับคุณอยู่บ้างรึเปล่า เพราะบางครั้งเราหงุดหงิด แสดงอารมณ์ไม่น่ารักใส่ใครโดยไม่รู้ตัวก็อาจจะทำให้เพื่อนร่วมงานไม่ค่อยอยากจะเสวนาด้วยก็เป็นได้ ดังนั้น หมั่นเช็คหน่อย อย่าปล่อยให้อาการเครียดจากงานพาลให้เราเสียเพื่อนร่วมงานดี ๆ ไป

4. รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
เคยไหมทำงานหนักแต่พักเท่าไหร่ก็ไม่หายเหนื่อย บอกเลยว่าที่คุณเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าที่คุณเหนื่อยมันใม่ใช่แค่เรื่องของร่างกายแล้วละ แต่มันเป็นเรื่องของความเหนื่อยที่ลึกลงไปถึงจิตใจ เพราะบางทีคุณไม่สามารถปล่อยวางงานที่เครียด ๆ ออกจากใจได้ คุณแบกมันกลับมาคิดต่อที่บ้าน คิดจนเข้านอน ทำให้คุณนอนหลับไม่สนิท ตื่นมาคุณก็จะรู้สึกยังคงเมื่อยล้า พาลไม่อยากให้คุณลุกออกไปหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เข้าไปอีก แนะนำว่า ปล่อยวางและลองหาอะไรสนุก ๆ ทำให้ร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่าให้เร็วที่สุด

5. วิตกกังวลกับทุกเรื่อง
ลองนึกย้อนดูว่าคุณมักจะวิตกกังวลอยู่บ่อย ๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือไม่ กลัวทำงานนี้ไม่ได้ กลัวขายงานนี้ไม่ผ่าน ไม่ไว้ใจและไม่เชื่อมั่นในคนอื่น กลัวเขาจะทำได้ไม่ดีเท่าเรา กลัวเขาจะทิ้งงาน กลัวไปเสียหมด ทั้ง ๆ ที่งานบางอย่างยังไม่ทันจะได้เริ่มทำเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นแบบนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าคุณกำลังเครียดเกินไป ลองปล่อยวางเสียบ้าง ทำทุกอย่างแบบสบาย ๆ เข้าใจว่างานบางอย่างเป็นงานใหญ่ งานสำคัญอาจจะเป็นเรื่องยากที่คุณจะไม่กังวล แต่บางครั้งการกังวลที่มากเกินไป ก็พาลให้เพื่อนร่วมงานรับรู้ได้ถึงความเครียด ความกดดัน จากที่ทุกคนจะทำงานสบาย ๆ ปล่อยไอเดียกันอย่างเต็มที่ ก็กลายเป็นวิตกกันไปทั้งทีม แบบนี้ยิ่งแย่แน่นอน

          ลองเช็คตัวเองดูว่าคุณกำลังเป็นแบบใน 5 ข้อนี้อยู่หรือไม่ ถ้าใช่ รีบแก้ไขด่วนเลย เพราะความเครียดส่งผลเสียในระยะยาวแน่นอน ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะลดภาวะเครียดได้อย่างไร ลองเริ่มต้นง่าย ๆ จาก ส่องกระจกและยิ้มให้กับตัวเองในกระจกก่อนออกจากบ้านดู เพราะเมื่อคุณรู้สึกดีกับตัวเองตั้งแต่ออกจากบ้าน อะไรดี ๆ อื่น ๆ ก็จะตามมาอีกอย่างแน่นอน

ที่มา : th.jobsdb.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เคล็ดลับบำรุงสายตาของคนทำงาน



          ชีวิตประจำวันของคนทำงานในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วจะจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็ใช้สายตาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน หลายคนบ่นว่ากำลังจะมีปัญหาเรื่องสายตาเริ่มสั้นลง หรือแม้แต่บางคนรู้สึกว่าตาแห้งง่าย นั่นเป็นผลมาจากการใช้สายตานาน ๆ บางคนบอกว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะงานของเขาคือการใช้สายตาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

          ปัญหาทางสายตาหลาย ๆ อย่างสามารถป้องกันได้ หากเรารู้จักดูแลตัวเราเอง และสายตาของเรา เมื่อเราต้องทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ เราควรหาวิธีป้องกันและบำรุงสายตา เพื่อให้สายตาของเรามีสุขภาพที่ดี และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดไป


รับประทานอาหารบำรุงสายตา
เมื่อเราทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ ดวงตาของเราจะเกิดอาการเมื่อยล้า เพราะสายตาของเราถูกใช้งานอยู่ตลอดเวลา นอกจากจะหยุดใช้สายตาสักครู่แล้ว การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตาก็สามารถช่วยเราได้อีกทางหนึ่ง ผักที่มีประโยชน์ และสามารถบำรุงสายตาของเราให้มีสุขภาพดีมีอยู่หลายประเภท เช่น ผักบุ้ง ช่วยบรรเทาอาการตาแห้ง และลดการปวดกระบอกตา แครอท ช่วยบำรุงสายตา และเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นในเวลากลางคืน ฟักทอง ช่วยป้องกันเยื่อบุตาแห้ง เป็นต้น การรับประทานอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ดวงตาของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไปอีกนาน


พักสายตาทุก 30 นาที
เมื่อเรานั่งทำงานนาน ๆ โดยไม่หยุดพัก สิ่งที่ตามมา คือ ความเมื่อยล้าที่เกิดกับร่างกายของเรา ดวงตาของเราก็เช่นเดียวกัน หากถูกใช้เป็นเวลานาน ๆ สายตาของเราก็จะเกิดอาการเมื่อยล้า หรือเกิดอาการพร่ามัวได้ เราควรหยุดพักจากงานที่ทำ แล้วเปลี่ยนไปมองที่ไกล ๆ หรือมองหาต้นไม้ที่มีสีเขียว จะได้ช่วยผ่อนคลายสายตา หากจะให้ดี เราควรจัดระยะห่างจากหน้าจอร่วมด้วย ควรให้ห่างอย่างน้อย 1 ช่วงแขน และปรับแสงไม่ให้จ้าจนเกินไป เพราะหากเรารับแสงจนมากเกินไป เราจะรู้สึกแสบตา และตาแห้งได้


ผ่อนคลายกล้ามเนื้อดวงตา
เมื่อเรารู้สึกว่าดวงตาของเรากำลังเกิดอาการเมื่อยล้า ให้หยุดทำงานแล้วหลับตาลงสักครู่ เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกเมื่อยล้านั้น หรืออาจจะหาผ้าชุบน้ำเย็น ๆ บิดพอหมาด ๆ ประคบไว้ที่ดวงตา เป็นการช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา น้ำเย็นจะช่วยกระตุ้นความรู้สึกบริเวณดวงตา และทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี เราสามารถใช้เวลานี้นอนหลับพักผ่อน เมื่อให้ดวงตาได้รับการบำรุงมากขึ้น และร่างกายก็จะได้พักผ่อนไปในเวลาเดียวกัน วิธีนี้จะทำให้เรารู้สึกว่าดวงตาของเราแข็งแรงมากขึ้น เมื่อเราลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง


กะพริบตาให้บ่อยขึ้น
บางครั้งการที่เรารู้สึกว่าดวงตาของเราพร่ามัว และเมื่อยล้า เป็นเพราะว่าเราขยับดวงตาน้อยไป เนื่องจากเราใช้สายตาส่วนใหญ่จดจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป หากไม่มีเวลามากพอที่จะลุกขึ้นยืนไปยืดเส้นยืดสาย หรือพักผ่อนดวงตา ให้ลองกะพริบตาให้บ่อยขึ้น เพื่อให้มีน้ำมาหล่อเลี้ยงดวงตาให้ชุ่มชื่นอยู่เสมอ การกะพริบตา 1-2 ครั้ง จะช่วยให้ดวงตาของเรากลับมามีแรงอีกครั้ง และช่วยลดปัญหาอาการตาแห้งได้


          วิธีการบำรุงรักษาดวงตามีอยู่หลายขั้นตอน ลองเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับการทำงานของเรา ก็จะช่วยให้ดวงตาของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ทางที่ดีควรหาเวลาพักผ่อน ไม่ควรหักโหมทำงานมากเกินไป เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายส่วนอื่น ๆ ของเราไปด้วย


ที่มา : th.jobsdb.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สร้างสมดุลชีวิตให้กับพนักงาน ด้วยนโยบายและทิศทางขององค์กรที่ดี


 
          องค์กรจะก้าวหน้าได้ ต้องเริ่มจากนโยบายและทิศทางขององค์กรที่ดี สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการบริหารความสมดุลชีวิตให้กับพนักงาน ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจในการทำงานอย่างหนึ่ง จากการที่พนักงานรับรู้ได้ว่า ผู้บริหารไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นหุ่นยนต์ที่ทำงานได้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในฐานะ HR คุณสามารถสร้างสมดุลชีวิตและงานให้กับพนักงานได้ดังนี้

1. เป็นต้นแบบที่ดีในการจัดสมดุลชีวิตและงาน จัดสมดุลชีวิตและงานของคุณให้ดี ทำให้พนักงานรู้ว่าคุณคาดหวังให้พวกเขาทำแบบนั้นเช่นกัน

2. ฝึกให้ผู้จัดการ หัวหน้างานรู้จักการสังเกตพนักงาน หากเห็นสัญญาณของการขาดสมดุลในชีวิตและงาน ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัวที่กระทบกับงาน หรือทำงานมากเกินไปจนกระทบกับชีวิตส่วนตัว ให้รีบเข้าไปช่วยเหลือทันที

3. กระตุ้นให้ผู้จัดการ หัวหน้างานกำหนดลำดับความสำคัญของงานอย่างชัดเจน เพราะหากไม่ชัดเจน พนักงานจะคิดว่าต้องโหมทำทุกอย่างให้เสร็จพร้อมกันหมด แทนที่เขาจะได้เลิกงานกลับไปหาครอบครัว เขาอาจต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาโดยไม่จำเป็น

4. จัดอบรมพนักงานเกี่ยวกับการจัดสรรเวลา การบริหารปริมาณงานในมือ กับเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวอย่างสมดุล ทำอย่างไรจะกำจัดนิสัยไม่ดีที่ทำให้งานไม่มีประสิทธิภาพออกไปได้ เพื่อเวลาทำงานจะได้ทำงานอย่างเต็มที่ และมีเวลาเหลือให้กับตัวเองด้วย

5. ปรับเวลาทำงานให้ยืดหยุ่น กำหนดเวลาเข้างาน และเลิกงานได้หลายเวลา สำหรับพนักงานที่บ้านไกลเดินทางลำบาก สามารถเลือกเวลาที่เหมาะสมกับตนได้ เช่น 8.00-17.00 น. 8.30-17.30 น. 9.00-18.00 น. 9.30-18.30 น. หรืออื่น ๆ เลือกได้แบบใดแบบหนึ่ง และต้องยึดตามที่เลือกตลอดไป ห้ามเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพื่อที่จะได้สะดวกสำหรับ HR ในการตรวจสอบเวลาทำงานของพนักงานด้วย

6. อนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้านได้ในกรณีที่จำเป็น หากพนักงานต้องหยุดงานเพื่อดูแลคนในครอบครัวที่เจ็บป่วย การอนุญาตให้เขาทำงานจากที่บ้านได้จะช่วยลดความกังวลเรื่องครอบครัว ในขณะเดียวกันก็สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการปล่อยให้ตัวมาทำงานแต่ใจไม่อยู่ที่งาน

7. กระตุ้นให้มีการใช้วันลาพักร้อน และวันลาป่วย ทุกองค์กรล้วนกำหนดโควต้าวันลาในแต่ละปีไว้ว่าแต่ละคนมีวันลากี่วัน สำหรับอะไรบ้าง หากไม่ใช้สิทธิ์ก็จะเสียสิทธิ์นั้นไป หากเริ่มเห็นสัญญาณของความเหนื่อยล้าในการทำงาน ควรกระตุ้นให้พนักงานใช้วันหยุดที่มีเพื่อพักผ่อนเสียบ้าง

ที่มา : jobsdb
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วิธีจัดการกับความโกรธเมื่อเกิดปัญหาในทีมงาน


          แม้หลายคนจะมีสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน แต่ที่ทำงานก็ไม่ใช่ที่ที่เราควรแสดงออกถึงอารมณ์ส่วนตัว โดยเฉพาะในด้านลบหรือด้านที่รุนแรง อีกทั้งบางครั้งปัญหาในการทำงานอาจเกิดจากปัจจัยภายนอกที่เราเองหรือเพื่อนร่วมงานก็ไม่อาจควบคุมได้ ลองมาดูกันค่ะว่าหากรู้สึกโกรธแบบสุดขีด เราจะมีวิธีการในการควบคุมความโกรธในที่ทำงานอย่างไร
1.แยกแยะให้ได้ถึงสาเหตุของความโกรธ
รู้ทันถึงสิ่งที่จุดประกายความโกรธ เช่น ลักษณะของเหตุการณ์ อุปสรรคในขั้นตอนการผลิต ลูกน้องทำงานไม่ถูกใจ ฯลฯ เพื่อให้ตัวเองเตรียมใจรับปัญหาได้ทันก่อนความโกรธจะเกิดขึ้น
2.หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับผู้คนชั่วคราว
เมื่อเล็งเห็นว่าปัญหากำลังจะเกิด อาจพาตัวเองหลบไปพักเพื่อเตรียมใจสักครู่หนึ่ง ทำใจให้เย็นลงและหลีกเลี่ยงการรับข้อมูลเพิ่มเติมสักพัก ก่อนกลับมาเผชิญกับปัญหาด้วยอารมณ์ที่นิ่งขึ้น
3.มีความตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน
อย่าหาข้ออ้างในการแสดงความโกรธ หยุดโทษผู้อื่น เมื่อรู้ตัวว่าเรากำลังแสดงอารมณ์โกรธในที่ทำงาน ให้ตระหนักว่านั่นเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารักและนึกถึงการเปลี่ยนแปลงแก้ไขนิสัยนี้เข้าไว้

4.มองโลกแง่บวก รู้จักความเป็นมืออาชีพ
คอยเตือนตัวเองว่าการแสดงความโกรธเป็นตัวบั่นทอนความก้าวหน้า เพราะการก้าวสู่ความสำเร็จมีไว้ให้เฉพาะคนที่มีความเป็นมืออาชีพสูงเท่านั้น นอกจากนี้ การเอาแต่โกรธยังทำให้เสียเวลาในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอีกด้วย


5.ฝึกทำใจให้สงบ และใช้ความอดทนให้มาก
ฝึกใจให้สงบโดยเริ่มจากเรื่องง่ายๆ เช่น ไม่หงุดหงิดหรืออารมณ์เสียในขณะรถติดสาหัส ลองฝึกความสงบและอดทนเช่นนี้ทุกวันจะทำให้เราเป็นคนอดทนมากขึ้นได้ในที่สุด 
6.ใส่ใจเพื่อนร่วมงานที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน
สละเวลาไปปลอบใจหรือช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานที่ประสพปัญหาเดียวกัน วิธีนี้ไม่เพียงช่วยคลายความโกรธในใจตนเอง แต่ยังทำให้เราได้สัมผัสถึงความโกรธที่แผ่ออกมาจากผู้อื่นว่ามีผลร้ายต่อคนรอบข้างอย่างไร
7.หากรู้ตัวว่าขี้โมโห ติดข้อความเตือนใจไว้บนโต๊ะทำงานเลย!
ติดกระดาษโน้ตสีสดใสที่เขียนข้อความเชิงบวก เช่น “อดทนไว้!” หรือ “ใจร่มๆ ไว้นะ!” เพื่อเตือนใจตนเอง โดยอาจเป็นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ บนกระจกที่ใช้แต่งตัวทุกเช้า และในรถยนต์ส่วนตัว

          ความอดทนเป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ และการใส่ใจผู้อื่นมากกว่าตนเองก็เป็นสิ่งช่วยลดอารมณ์เชิงลบของเราได้เช่นกัน รู้อย่างนี้แล้ว มาฝึกใจให้เย็นดีกว่า เพื่อให้สังคมในที่ทำงานเต็มไปด้วยบรรยากาศสร้างสรรค์ และงานก็จะสำเร็จได้ พร้อมๆ ไปกับเราและเพื่อนร่วมงานที่มีความสุขกันโดยถ้วนหน้า

ขอบคุณข้อมูล my.sony.co.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วิธีการรับมือ เมื่อเกิดความสับสน



          แน่นอนว่าทุกคนต้องเคยรู้สึกสับสนในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องเรียน เพราะแต่ละคนมีความรู้, ทักษะและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นแล้ววิธีที่ดีคือการรู้จักวางแผน, พัฒนาตัวเองและใช้ความสามารถที่ตัวเองมีให้เกิดประโยชน์ เรียกง่ายๆว่าต้องมีกลยุทธ์ในการรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั่นเอง และนี่คือกลยุทธ์คร่าวๆที่เราสามารถนำไปใช้ในการรับมือกับการเรียน, การทำงาน หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันโดยทั่วไป


ลิสข้อดีข้อเสียของตัวเองออกมา
โดยแบ่งออกเป็น 2 คอลัมน์ โดยคอลัมน์นึงเขียนเกี่ยวกับความชอบและความสามารถของตัวเองเอง (สิ่งที่เราเก่งหรือทำได้ดี) ส่วนอีกคอลัมน์นึงเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่เราคิดว่ายากและเป็นจุดอ่อนของเรา (สิ่งที่ไม่ถนัดหรือไม่ชอบ) เพราะนี่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับด้านดีและด้านแย่ของเราเอง และทำให้เรารู้สึกดีเกี่ยวกับจุดแข็งของเรา และระมัดระวังสิ่งที่เป็นจุดอ่อน
หาว่าอะไรคือสิ่งที่เราสนใจอยากจะเรียนรู้
ลองตั้งคำถามตัวกับตัวเองดูว่าอะไรคือสิ่งที่เราสนใจและอยากเรียนรู้เพิ่ม นอกจากนี้ยังสามารถเอาเรื่องนี้ไปถามอาจารย์, พ่อแม่, รุ่นพี่หรือแม้แต่เพื่อน

รักษาความกระตือรือร้นและความแข็งแกร่งของตัวเองไว้ให้ได้
เพราะมันจะทำให้เรามีโอกาสในอนาคตมากกว่าเดิม อีกทั้งยังทำให้เรามั่นใจว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการหรืออยากจะพัฒนา และทำให้เราเริ่มต้นทำในสิ่งที่ใช่สำหรับเรา

มุ่งเน้นไปยังเรื่องๆเดียว
ในช่วงเวลาหนึ่ง ควรจะมุ่งเป้าในการทำสิ่งๆเดียว อย่าทำหลายๆอย่างพร้อมๆกัน เพราะโอกาสเกิดความสับสนมีสูงมาก นอกจากนี้ ในขณะเดียวกัน เราอาจจะต้องเอาชนะพฤติกรรมแย่ๆหรือจุดอ่อนของตัวเองให้ได้ด้วย

พยายามทำในสิ่งที่เลือกแล้วให้ดี
เมื่อใดก็ตามเราได้เลือกสิ่งที่เราทำแล้ว ก็จงตั้งมั่นอยู่กับมันตลอด อย่าปล่อยให้พฤติกรรมแย่ๆหรือความอยากอื่นๆ มาทำให้เราล้มเลิกความตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียน, อาชีพหรือแม้แต่งานอดิเรก

พัฒนาตัวเองตลอดเวลาเพื่อสร้างโอกาส
ไม่ว่าจะเรื่องอะไร อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่กับที่ ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าเราเก่งกับเรื่องๆนั้นแล้วก็ตาม เพราะมันจะทำให้เราชะล่าใจและอาจจะนำไปสู่การถอยหลัง จนพัฒนาไม่ทันคนอื่นๆ

ห้ามล้มเลิกกลางคัน
เพราะว่าถ้าเราเกิดล้มเลิกหรือหยุดทำสิ่งใดๆที่เราได้เลือกไปแล้วกลางคัน เราก็ไม่มีวันเข้าใจหรือรู้ว่าสิ่งนั้นๆเป็นอย่างไรและมันดีหรือแย่กับเราหรือไม่ ดังนั้น อย่ากังวลถ้าเราไม่เข้าใจในสิ่งที่ทำในช่วงแรก เพราะทุกอย่างย่อมมีครั้งแรก ขอเพียงแค่เราหายใจเข้าลึกๆ และทำต่อไปอย่างตั้งใจ เชื่อเถอะว่าทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ด้วยดี

สร้างสรรค์และพัฒนาความแข็งแกร่งของเรา
จงเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง และนำพลังนั้นมาสร้างสรรค์และพัฒนาความแข็งแกร่งของเราให้มั่นคงและยั่งยืน จงขอบคุณที่ตัวเองมีโอกาสดีๆและใช้มันอย่างถูกต้อง

ทำตามแผนที่วางไว้
หยุดที่จะคิดกังวลหรือฟุ้งซ่าน เพราะมันจะทำให้เราสับสนกับสิ่งที่เราทำอยู่ จงทำทุกอย่างอย่างมีแบบแผนและต่อเนื่อง เพราะว่าในอนาคตเมื่อเราออกไปทำงาน นายจ้างทุกคนต่างก็อยากเห็นว่าเราเป็นคนที่มีความกระตือรือร้น และพัฒนาตัวเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่คำที่เขียนลงในใบสมัครเท่านั้น


ที่มา : hotcourses.in.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก 

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

นิสัย 8 อย่างที่คนประสบความสำเร็จระดับโลกมีเหมือนกัน



สิ่งที่เรามักพบบ่อยๆ คือ การตั้งเป้าหมายว่าจะทำนู่นทำนี่เยอะแยะไปหมด สุดท้ายสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง แต่ถ้าใครอยากประสบความสำเร็จในระยะยาวละก็ ลองนำนิสัย 8 อย่างที่คนประสบความสำเร็จระดับโลกมีเหมือนกันไปปรับใช้กับตัวเองดูสิคะ

1. Busy Busy : ยุ่งอยู่ตลอดเวลา
Jeffrey Pfeffer อาจารย์จากมหาวิทยาลัย Stanford ได้ทำการสำรวจและพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จอย่าง Lyndon Baines Johnson ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 36 และ Robert Moses นักวางผังเมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทำงานกันถึงวันละ 10 ชั่วโมง และในหนึ่งสัปดาห์จะหยุดพักเพียงหนึ่งวันเท่านั้น แต่พวกเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต เพราะการได้ทำงานที่รักทำให้เขาสามารถทำไปได้เรื่อยๆ แบบไม่รู้เบื่อ และผลจากการทุ่มเททำงานหนักก็ทำให้ดอกผลนั้นงอกงามสมความตั้งใจ

2. Just Say No : ปฏิเสธให้เป็น
Warren Buffett สุดยอดนักลงทุนในตลาดหุ้นฉายาพ่อมดการเงิน กล่าวว่า “ความแตกต่างของคนที่ประสบความสำเร็จทั่วไปกับคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงคือ คนประเภทหลังรู้จักปฏิเสธเกือบทุกอย่าง”
จริงๆ แล้วสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตเรามีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกค่ะ แต่เรามักจะรับสิ่งต่างๆ เข้ามาจนชีวิตรุงรังไปหมด หากลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นลงไปบ้าง แล้วนำแรงกายแรงใจไปใช้กับการพุ่งเป้าไปสู่ความต้องการที่แท้จริง เส้นทางสู่ความสำเร็จก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน


3. Know What You Are : รู้จักตัวเอง
เราเป็นใคร? งานแบบไหนที่เราทำได้ดี? จุดแข็งของเราคืออะไร? ถ้าไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ทันที ควรหาเวลาอยู่กับตัวเองเงียบๆ แล้วสำรวจตัวเองดูนะคะ คนที่รู้จักตัวเองเป็นอย่างดี จะสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้อย่างถูกที่ถูกทาง และเข้าถึงความสำเร็จได้เร็วกว่าค่ะ


4. Build Networks : สร้างเครือข่าย
ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงธุรกิจเครือข่ายหรือที่เรียกกันว่าขายตรงนะคะ แต่หมายความว่าถ้าอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เราควรทำความรู้จักกับผู้คนให้หลากหลาย หมั่นเข้าสังคมบ่อยๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่เราสนใจจะร่วมงานหรือร่วมทำธุรกิจด้วย เป็นคนกว้างขวางยังไงก็ดีกว่าอยู่อย่างโดดเดี่ยวแน่นอนค่ะ


5. Create Good Luck : ไม่ต้องรอโชค
ที่บอกว่าไม่ต้องรอโชค เพราะเราสามารถสร้างโชคดีให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเองค่ะ บางคนดูเป็นคนโชคดีกว่าคนอื่น หยิบจับอะไรก็ประสบความสำเร็จไปหมด นั่นเป็นเพราะเขาหมั่นพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ขยันคิดไอเดียใหม่ๆ และวิ่งเข้าหาโอกาสตลอดเวลา ถ้าทำได้แบบนี้โชคดีก็จะอยู่ข้างเดียวกับคุณเช่นกันค่ะ


6. Have Grit : มานะอดทน
การงานทุกอย่างจะสำเร็จได้ นอกจากอาศัยสติปัญญาเป็นตัวชี้นำแล้ว ความมานะอดทนก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่สำคัญค่ะ คนที่ประสบความสำเร็จต่างรู้ดีว่าความสำเร็จไม่มีทางลัด หากอยากได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการก็ต้องแลกด้วยความทุ่มเท อยากเป็นนักเขียนก็ต้องเขียนทุกวัน อยากเก่งภาษาอังกฤษก็ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
ก่อนจะตีเหล็กกล้าเขายังต้องนำไปเผาไฟให้ร้อนเสียก่อน คนเราจะแข็งแกร่งได้ก็ต้องผ่านบททดสอบว่าด้วยความอดทนเช่นกัน

7. Make Awesome Mistakes : เรียนรู้จากความผิดพลาด
Thomas Alva Edison ผู้สามารถประดิษฐ์หลอดไฟได้สำเร็จเป็นคนแรกของโลกกล่าวไว้ว่า “I haven't failed, I've found 10,000 ways that don't work” ผมไม่เคยล้มเหลว ผมแค่พบ 10,000 วิธีที่ใช้การไม่ได้เท่านั้น
ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ทุกครั้งที่ล้มเหลวขอให้รีบลุกขึ้นใหม่อีกครั้งแล้วก้าวต่อไปค่ะ อย่ามัวคร่ำครวญถึงความผิดพลาดที่ผ่านไปแล้ว เก็บประสบการณ์เหล่านั้นไว้เป็นบทเรียนเพื่อทำก้าวต่อไปให้ดีและมั่นคงยิ่งขึ้น แต่จะให้ดีก็ควรเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นไว้บ้างจะได้ไม่ทำผิดซ้ำ และควรผิดพลาดเสียตั้งแต่อายุยังน้อยค่ะ เพราะยังมีเวลาให้แก้ตัวอีกเยอะ


8. Find Mentors : หาที่ปรึกษาที่ดี
โค้ชส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่เล่นกีฬาเก่งกว่านักกีฬา แต่เขาคือคนที่รู้ว่าจะดึงศักยภาพสูงสุดของนักกีฬาออกมาได้อย่างไร ในการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จ การมีโค้ชที่ดีถือเป็นเรื่องประเสริฐอย่างยิ่ง ดังนั้น การพยายามพาตัวเองไปอยู่กับคนเก่ง เพื่อซึมซับเรียนรู้วิธีคิดวิธีทำงานของคนเหล่านั้น จึงถือเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ที่ใฝ่หาความสำเร็จในชีวิต

ที่มา: TIME.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก