วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2559

CSR กับ CSV แตกต่างกันอย่างไร



CSR : Corporate Social Responsibility แปลความอย่างง่ายว่าความรับผิดชอบของบริษัทต่อสังคม ส่วนใหญ่นิยมแสดงผ่านการจัด "กิจกรรม" ต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจหลัก โดยเป็นการแบ่งปันผลกำไรมาใช้จัดโครงการเพื่อสังคม บางครั้งเป็นการทำตามความต้องการของผู้บริหาร หรือเมื่อมีปฏิกิริยากดดันจากภายนอก

CSV : Creating Shared Value คือ การปรับเปลี่ยน "การดำเนินธุรกิจ" ให้ตรงกับความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้น คู่ค้า ลูกค้า ชุมชน หรือสิ่งแวดล้อม โดยการปรับตัวเข้าสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนด้วยการลดการใช้ทรัพยากรและลดการปล่อย "รอยเท้า" ของธุรกิจในด้านต่างๆ เช่น ของเสียจากการผลิต มลพิษ คาร์บอน

เนื่องจาก CSV ไม่ใช่การแบ่งปันผลกำไร หรือการกุศลโดยตรง แต่ CSV เน้นการสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่ (value chain) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่หวังดีต่อสังคม ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างกำไรให้บริษัทด้วย ปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ทำ CSV ประสบความสำเร็จ


>>> Case study ตัวอย่างองค์กรที่ทำ CSV 

- Novartis ผู้ผลิตยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพระดับโลก : ทำ CSR ด้วยการแจกยาฟรีหรือลดราคาให้กับประชาชนในประเทศยากจน ทำให้คนจนเข้าถึงยาได้ แต่รายได้บริษัทกลับลดลง ด้วยการแบกรับต้นทุนเท่าเดิม ต่อมา Novartis ได้เปลี่ยนมาทำ CSV โดยการตั้งโครงการ “Arogya Parivar” (แปลว่า ครอบครัวสุขภาพดี ในภาษาฮินดี) เป็นบริการสุขภาพเพื่อคนจน โดยเริ่มต้นในอินเดีย ด้วยการปรับผลิตภัณฑ์ การบริการ ไปจนถึงกลยุทธ์ และโมเดลธุรกิจ จนสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับบริษัทควบคู่กับไปกับการสร้างประโยชน์ให้สังคมได้

- Dow Chemical บริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก : ออกผลิตภัณฑ์ไล่แมลงที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ ชื่อว่า The Spinetoram มีสรรพคุณไล่แมลงได้ผลมากขึ้นในปริมาณการใช้ที่น้อยลง และส่งผลกระทบน้อยมากกับแมลงซึ่งถือเป็นหัวใจของระบบนิเวศ ไม่ส่งผลกระทบต่อสัตว์อื่นๆ และพันธุ์ไม้โดยรอบ เพราะเป็นสารที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ยอดขายเติบโตปีละกว่า 10% ตั้งแต่เริ่มวางจำหน่าย

- GE (General Electric) บริษัทอุตสาหกรรมหนักรายใหญ่ของโลก : ปรับยุทธศาสตร์จากอุตสาหกรรมแบบเดิมมาเน้น 2 เรื่องหลัก คือ Ecomagination - เน้นการลงทุนในพลังงานสะอาดและสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีคุณค่า เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ Healthymagination - เพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนเข้าถึงการสาธารณสุขได้มากขึ้นด้วยเทคโลยี เริ่มโดยออกแบบเครื่องตรวจ x-ray , MRI ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังเริ่มดำเนินการปรับปรุงการจัดการในโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และใช้พลังงานหมุนเวียน ทำให้ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้มากกว่า 41% และลดการใช้น้ำลงกว่า 20% อีกด้วย

- Campbell’s soup บริษัทผลิตอาหารระดับโลก : ให้ความสำคัญกับทั้งห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับภาครัฐในการตั้งเป้าลดระดับเกลือในอาหาร ด้วยการผลิตซุปโซเดียมต่ำออกมาขายพร้อมเปิดเผยข้อมูลโภชนาการอย่างละเอียด โดยปัจจุบันรายได้ของซุปโซเดียมต่ำคิดเป็น 30% ของรายได้รวมบริษัทเลยทีเดียว

- Cisco บริษัทผู้นำด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายสำหรับอินเตอร์เน็ต : ร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น โดยการก่อตั้ง cisco networking academy โครงการศึกษาทางไกลสำหรับนักเรียนในพื้นที่ต่างๆ กว่า 170 ประเทศทั่วโลก หลักสูตรนี้ได้รวมกับหลักสูตรอบรมพัฒนาทักษะพนักงานของ cisco ทำให้นักเรียนที่จบหลักสูตรดังกล่าว มีโอกาสเข้าทำงานกับ Cisso ด้วย ซึ่งโมเดลนี้นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในบริษัทแล้ว ยังเป็นการพัฒนาการศึกษาระดับท้องถิ่น เกือบ 10 ปีที่เริ่มโครงการนี้มาจนถึงปัจจุบัน มีนักเรียนที่เคยเข้าร่วมโครงการนี้มาแล้วกว่า 5.5 ล้านคนทั่วโลก

ขอบคุณข้อมูล : ป่าสาละ schoolofchangemakers.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เคล็ดลับสร้างการมีส่วนร่วมในการประชุมทีมงาน



บางคนมักจะรู้สึกว่าการประชุมเป็นสิ่งเต็มไปด้วยความกดดัน หากเตรียมตัวไม่พร้อม เราก็จะกลายเป็นจุดสนใจ แน่นอนว่าไม่ใช่จุดสนใจที่ดีนัก เราจะรู้สึกได้ถึงสายตาทุกสายตา ที่กำลังจ้องมองมาที่เราเป็นตาเดียว ทำอย่างไรจึงจะทำให้การประชุมที่เรามีส่วนร่วมน่าสนใจ และดูไม่น่าเบื่อจนเกินไป หลายคนปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุมกับองค์กร เพราะส่วนหนึ่งรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ขาดความน่าสนใจ และไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

การประชุมไม่เพียงแต่จะต้องนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้ฟังเท่านั้น แต่เราต้องสร้างการมีส่วนร่วมในการประชุมให้เกิดขึ้นด้วย เราต้องให้ผู้ฟังสามารถโต้ตอบ เพื่อแสดงออกถึงการรับรู้ว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่เรานำเสนอไปมากน้อยเพียงใด ผู้พูดต้องทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมรู้สึกว่าการเข้าประชุมนั้นสำคัญเพียงใด จำเป็นเพียงใดที่เขาต้องเข้าประชุมในครั้งนี้

การจัดการประชุมให้ประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพนั้น ไม่เพียงแต่ต้องทำอย่างมีระบบ แต่ต้องสร้างการมีส่วนร่วมให้กับการประชุมในแต่ละครั้งด้วย เทคนิคการประชุมนั้นไม่ตายตัว สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สถานการณ์การประชุมที่จะเกิดขึ้นก็มักจะแตกต่างกันไป เคล็ดลับที่จะช่วยให้การประชุมเกิดการมีส่วนร่วม และมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง มีดังนี้

เข้าประชุมตรงเวลา
การตรงต่อเวลาเป็นมารยาทข้อสำคัญที่ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนต้องมี และปฏิบัติให้ได้ เพราะหากต้องรอใครคนใดคนหนึ่ง ก็จะเสียเวลาการประชุมออกไปอีก หากเป็นไปได้ให้เข้าประชุมก่อนเวลาสัก 5 นาที เพราะเราจะได้มีเวลาเตรียมตัว และเตรียมประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องพูดถึงในการประชุมให้มากขึ้น การเข้าประชุมสายจะทำให้คนอื่น ๆ เข้าใจว่าเราไม่มีความพร้อมมากพอ และเป็นคนไม่รักษาเวลา

จำกัดผู้มีส่วนร่วมประชุม
เราต้องทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนรู้สึกได้ถึงความสำคัญ ว่าเหตุใดเขาจึงต้องเข้าประชุมในครั้งนี้ และผู้จัดประชุมเองต้องมั่นใจว่าทุกคนที่เข้าประชุมจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการประชุมจริง ๆ ไม่ใช่เชิญเพียงเพราะว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องเข้าประชุม หากเชิญคนที่ไม่มีบทบาทอย่างจริงจังมา ก็จะทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย และไม่สามารถแสดงความคิดเห็นใด ๆ ได้ เพราะเขาไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างแท้จริงแต่อย่างใด เช่น หากเป็นการประชุมแผนก เราก็ควรเชิญเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวกับกับหัวข้อที่เราจะพูดเท่านั้น ไม่ควรชวนคนอื่น ๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมาด้วย แม้ว่าเขาจะอยู่ในแผนกเดียวกับเราก็ตาม ยิ่งมีผู้ประชุมมากก็จะทำให้การประชุมยืดเยื้อเกินความจำเป็น

เตรียมทุกอย่างให้เกินความพร้อม
การประชุมทุกครั้งมีโอกาสที่จะเกิดเรื่องไม่คาดหวังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมในบริษัท หรือจำเป็นต้องออกไปประชุมนอกสถานที่ เราต้องเตรียมข้อมูลที่จะใช้ในการประชุมให้พร้อม และเตรียมเผื่อไว้ในกรณีที่มีผู้เข้าประชุมต้องการข้อมูลเพิ่ม ในกรณีที่เรามีเอกสารให้ผู้เข้าประชุม เราไม่จำเป็นต้องพูดให้ครบทุกประเด็น พูดเพียงประเด็นที่สำคัญ ๆ เท่านั้น และพูดให้ตรงประเด็นมากที่สุด หากผู้เข้าประชุมมีข้อสงสัยก็อาจจะอ่านเพิ่มเติมจากเอกสาร หรือเปิดโอกาสให้เขาได้ซักถามเพิ่มเติม โดยเราเป็นผู้ตอบคำถามนั้น เพื่อไขข้อข้องใจ

ให้ความสำคัญกับผู้เข้าประชุม
เราควรกำหนดเวลาว่าเราจะใช้เวลาในการนำเสนอข้อมูลนานเพียงใด จากนั้น เราจะใช้เวลาเท่าใดในการตอบคำถามของผู้เข้าร่วมประชุม การให้ความสำคัญกับผู้เข้าประชุม จะเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมได้ดีในระดับหนึ่ง การเกิดคำถามคำตอบในระหว่างการประชุม หรือแม้แต่หลังการประชุมเองก็ตาม ทำให้เราได้รู้ว่าผู้เข้าประชุมสนใจหัวข้อใด หรือมีข้อสงสัยในประเด็นใดเป็นพิเศษ หากมีโอกาสเราต้องไขข้อข้องใจนั้นให้กระจ่าง เป็นการตัดปัญหาการประชุมที่ขนาดความน่าสนใจไปได้

การสร้างการมีส่วนร่วมในการประชุมนั้น จะทำให้ประเด็นที่นำมาประชุมนั้นมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งผู้พูดและผู้ฟังจะเข้าใจในประเด็นที่ตรงกันมากขึ้น และไม่จะเป็นต้องพูดซ้ำ หากประเด็นนั้นมีการพูดถึงไปแล้ว การสร้างการมีส่วนร่วมจะทำให้การประชุมมีความสำคัญ เพราะผู้เข้าร่วมประชุมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่


ที่มา : th.jobsdb.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อิทธิบาท 4 ธรรมะที่ใช้ในการทำงาน สู่ความสำเร็จ



ในโลกของการทำงาน คนรุ่นใหม่ไฟแรงทั้งหลายต่างก็เฝ้าหาทฤษฎีแห่งความสำเร็จมากมาย มาใช้แก้ปัญหาและหาหนทางเจริญก้าวหน้า แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ และเจอประตูสู่ความสำเร็จ งั้นลองมาดู ธรรมะที่ใช้ในการทำงาน เพื่อให้คุณประสบความสำเร็จในการทำงาน ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ นั่นคือ อิทธิบาท 4 ธรรมแห่งความสำเร็จ
อิทธิบาท 4 ธรรมะที่ใช้ในการทำงาน ประกอบด้วย
1. ฉันทะ คือ ความรักงาน-พอใจกับงานที่ทำอยู่
2. วิริยะ คือ ขยันหมั่นเพียรกับงาน
3. จิตตะ คือ ความเอาใจใส่รับผิดชอบงาน
4. วิมังสา คือ การพินิจพิเคราะห์ หรือ ความเข้าใจทำ

ฉันทะ : ความรักงาน-พอใจกับงานที่ทำอยู่
อันดับแรกต้องสำรวจตนเองว่า มีความชอบหรือศรัทธางานด้านใด แล้วมุ่งไปในเส้นทางนั้น อาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเอง ฉันทำงานเพื่ออะไร ฉันมีความสุขหรือไม่หากงานที่ทำอยู่ไม่ใช่งานที่รักเสียทีเดียว เผื่อเราจะได้มีเวลาค้นหาและปรับเปลี่ยนตัวเอง หรือปรับศรัทธาของตัวเองให้เข้ากับงานที่ทำอยู่
อย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะว่างานแต่ละอย่างนั้น ไม่มีทางที่ใครจะชื่นชอบไปทั้งหมดทุกกระบวนการ ดังนั้น ถ้าคุณพอใจที่จะทำ และมีความสุขกับงาน เชื่อว่างานที่คุณทำอยู่ต้องออกมาดีแน่ ๆ

วิริยะ : ขยันหมั่นเพียรกับงานที่มี
งานทุกอย่างจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียร ความวิริยะจึงเป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จได้ ยิ่งคุณขยันเท่าไรผลตอบแทนที่คุณจะได้รับมันก็มีมากเท่านั้น ที่สำคัญความวิริยะจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความรักในงานจากฉันทะนั่นเอง และความวิริยะไม่ใช่การทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เป็นการหมั่นฝึกฝนตนเองต่างหาก ทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตสำหรับคนทำงานร่วมกันคือ จะต้องขยันด้วยกันทั้งหัวหน้าและลูกน้อง ยิ่งผู้เป็นหัวหน้ายิ่งสำคัญมาก ถ้าเป็นคนเกียจคร้าน คิดกินแรงอย่างเดียว ลูกน้องก็มักขยันไปได้ไม่กี่น้ำ เดี๋ยวก็รามือกันหมด แต่ถ้าหัวหน้าเอาการเอางาน ก็จะสามารถดึงลูกน้องให้ขยันขันแข็งขึ้นด้วย

จิตตะ : เอาใจใส่รับผิดชอบกับงานที่ทำ
จิตใจที่จดจ่อกับงานล้วนเกิดผลดีต่องานที่ทำ จิตตะเป็นธรรมะที่แสดงถึงสติ ความรอบคอบและความรับผิดชอบที่จะตามมา ซึ่งในสังคมการทำงานปัจจุบันนี้ มุ่งเน้นแย่งชิงตำแหน่งกัน และขัดขาจนลืมคิดไปว่า งานที่ตนเองต้องรับผิดชอบนั้นคือสิ่งใดกันแน่ จิตตะจึงมีความสำคัญในการทำงานโดยไม่วอกแวกออกไปนอกลู่นอกทาง ดังนั้น เมื่อคุณมีทั้งฉันทะและวิริยะแล้ว จิตตะจะเป็นเสมือนรั้วของเส้นทางที่ไม่ให้ไขว้เขวออกนอกทางสู่ความสำเร็จได้ อย่างไรก็ดี ปกติคนที่โตเป็นผู้ใหญ่รู้ผิดชอบ มักจะใส่ใจกับงานอยู่แล้ว เพราะธรรมชาติจะทำให้หยุดคิดยาก แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือ ชอบคิดเจ้ากี้เจ้าการแต่เรื่องงานของคนอื่น คอยติ คอยสอดแทรก คอยวิพากษ์วิจารณ์ ในขณะที่ธุระของตัวกลับไม่คิดไม่ดู ซึ่งไม่ส่งผลให้งานของเราดีขึ้น พระพุทธเจ้า จึงทรงสอนให้เป็นนักตรวจตรางาน คือให้มีจิตตะ แล้วก็ทรงให้โอวาทสำทับไว้ด้วยว่า "ควรตรวจตรางานของตัวเอง ทั้งที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ"

วิมังสา : การพินิจพิเคราะห์และใช้ปัญญาตรวจสอบงาน
สุดยอดของวิธีทำงานให้สำเร็จอยู่ในอิทธิบาทข้อสุดท้ายนี้ วิมังสา แปลว่า การพินิจพิเคราะห์ หมายความว่า ทำงานด้วยปัญญา ด้วยสมองคิด ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ คนเราแม้จะรักงานแค่ไหน บากบั่นเพียงใด หรือเอาใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าขาดการใช้ปัญญาพิจารณางานด้วยแล้ว ผลที่สุดงานก็คั่งค้างและผิดพลาดจนได้
เราอาจลองทบทวนตัวเองนิ่ง ๆ ว่าวันนี้ทั้งวันเราทำอะไรบ้าง สรุปกับตัวเองว่าทำเพื่ออะไร เราจะได้มีกำลังใจต่อในวันต่อ ๆ ไป และไม่ทำผิดซ้ำซากอีกเช่นเดิม พร้อมกันนั้นเราจะสามารถเห็นหนทางได้ว่า เส้นทางไหนที่จะนำเราสู่ความสำเร็จได้จริง ๆ จะเห็นได้ว่า หลักธรรมะที่ใช้ในการทำงาน เป็นเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว หากเรานำ อิทธิบาท 4 มาปรับใช้ในการทำงาน รักงานที่ทำ ขยันทำงาน รับผิดชอบงาน และรู้จักไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ทางแห่งความสำเร็จคงไม่เกินเอื้อม...เชื่อเถอะ คุณก็ทำได้ ทุกอย่างอยู่ที่ "ใจ"


ที่มา : hplan.msu.ac.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เคล็ดลับการทำงานเป็นทีม สำหรับพนักงานใหม่



          จากการสำรวจผู้ประกอบการมองหาอะไรจากเด็กจบใหม่ พบว่า การทำงานเป็นทีมได้ นั้น เป็น 1 ใน 3 คุณสมบัติสำคัญที่ผู้ประกอบการต่างก็มองหาในตัวพนักงาน เพราะพลังจากการร่วมแรงร่วมใจนั้นสามารถเพิ่มทั้งความรวดเร็ว ช่วยในการตัดสินใจและยกระดับความคิดสร้างสรรค์ในผลงานได้เป็นอย่างดี แต่การเป็นพนักงานหน้าใหม่ที่ต้องมาร่วมงานกับรุ่นพี่นั้น บางครั้งอาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของทีมทันทีที่เริ่มงาน ใครที่กำลังสับสนและไม่รู้จะเริ่มตรงไหน 6 วิธี ขอแนะนำต่อไปนี้สามารถช่วยฝึกทักษะการทำงานเป็นทีมให้คุณได้

1. รู้จุดแข็งของตัวเอง
ในแต่ละทีมงานย่อมประกอบไปด้วยหลายหน้าที่ แต่ละหน้าที่ต่างก็ต้องการความสามารถหรือทักษะที่แตกต่างกันออกไป หากคุณรู้ว่าตัวเองมีจุดแข็งด้านใด คุณจะสามารถเสนอตัวช่วยรับผิดชอบในส่วนนั้นได้ ความสามารถนี้อาจจะเป็นความรู้ทางด้านเทคนิค การติดต่อประสานงาน การค้นคว้าหาข้อมูลหรือด้านใดก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่องาน เมื่อได้ทำในสิ่งที่ตนเองถนัดก็ย่อมสร้างผลงานออกมาได้ดีและทำให้ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นอีกด้วย
ข้อแนะนำ : หากยังไม่มั่นใจกับความสามารถของตัวเอง อาจจะลองเริ่มจากเสนอตัวช่วยในงานชิ้นเล็กให้สำเร็จก่อนเพื่อเพิ่มความมั่นใจ

2. รู้จักเพื่อนร่วมทีม
ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีนั้นสามารถส่งผลให้การทำงานราบรื่นขึ้นได้เสมอ อย่ารู้จักกันแค่เฉพาะเวลางาน หาโอกาสพูดคุยกับเพื่อนร่วมทีมในเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากงานบ้าง ทำความรู้จักและสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีอย่างจริงใจ คอยสนับสนุนช่วยเหลือในยามที่พวกเขาต้องการ สิ่งนี้จะช่วยให้การทำงานเป็นทีมง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
ข้อแนะนำ : นอกจากความสัมพันธ์กันแบบ “เพื่อนร่วมงาน” แล้ว เราควรเป็น “เพื่อน” กับทุกคนในทีมได้ด้วย

3. รู้จักและเข้าใจความแตกต่าง
สมาชิกแต่ละคนในทีมย่อมมาจากต่างประสบการณ์ ต่างครอบครัว ทั้งนิสัยและการทำงานย่อมมีความแตกต่างกันออกไป ควรพยายามเรียนรู้สไตล์การทำงานของแต่ละคน จากนั้นทำความเข้าใจและยอมรับในรูปแบบที่พวกเขาเป็น แทนที่จะมัวแต่หงุดหงิดกับการทำงานที่ไม่ได้ดังใจตัวเอง เราควรหาวิธีสร้างความร่วมมือและผลงานให้ได้ดีที่สุดจากความแตกต่างนี้
ข้อแนะนำ : อย่าใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินผู้อื่น แต่ให้สังเกตและเรียนรู้พวกเขาด้วยใจเป็นกลาง

4. รู้เวลา
การทำงานเป็นทีมนั้น ความล่าช้าที่เกิดจากคนหนึ่งคนสามารถส่งผลถึงทั้งทีมได้ ดังนั้นความตรงต่อเวลาจึงสำคัญมาก หากได้รับมอบหมายให้ทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งควรประเมินเบื้องต้นก่อนว่าจะทำได้สำเร็จตามเวลาที่ได้รับมอบหมายมาหรือไม่ และทำการเจรจาต่อรองจนได้ระยะเวลาที่ทั้งทีมรับได้และตัวเราเองก็มีเวลาเพียงพอที่จะทำงานให้ได้ดีด้วย
ข้อแนะนำ : หากรับงานมาแล้วพบในภายหลังว่าไม่สามารถทำตามเวลาที่กำหนดได้ ให้รีบแจ้งเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าทันทีเพื่อจะได้ช่วยกันหาทางออก อย่ารอจนถึงนาทีสุดท้าย หรือกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเราไม่มีความสามารถ การที่เรารับปากแล้วทำตามไม่ได้แต่ยังไม่รีบหาทางออกนั้นส่งผลเสียกว่ากันมาก

5. รู้จักฟังและมีการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม
รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างเปิดใจ แต่ก็อย่าเป็นผู้ฟังอย่างเดียวจนเอาแต่นั่งเงียบในที่ประชุมเพราะจะทำให้เหมือนกับไม่ให้ความร่วมมือ หากมีไอเดียใดที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่องานก็ควรนำเสนอต่อทีมหรือที่ประชุม หรือหากมีความคิดเห็นที่แตกต่างก็สามารถโต้แย้งได้อย่างสุภาพและใช้เหตุผลในการพูดคุยกัน
ข้อแนะนำ : หากไม่รู้จะเสนออะไรหรือมีความรู้ในเรื่องนั้นไม่มากพอ ควรทำการบ้านศึกษาหาข้อมูลก่อนเข้าประชุมทุกครั้ง

6. รู้และพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติสำหรับชีวิตมนุษย์ ไม่ต่างกับชีวิตของการทำงาน ยิ่งเป็นการทำงานที่มีผู้คนเกี่ยวข้องแล้วนั้น ในบางครั้งเราอาจต้องรับภาระเพิ่มขึ้นจากเพื่อนร่วมงานที่ลาออกกระทันหัน หรือโปรเจคอาจถูกเปลี่ยนมือไปให้คนใหม่ อะไรต่างก็เกิดขึ้นได้เสมอ จงเตรียมใจให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงด้วยสติและปรับตัวตามให้ดีที่สุด
ข้อแนะนำ : ถ้ารู้สึกว่ายังไม่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้า อย่าเพิ่งใช้อารมณ์ ควรปลีกตัวออกไปสงบสติสักพักก่อนกลับมารับมือกับความเปลี่ยนแปลง

          แม้จะเป็นพนักงานหน้าใหม่ แต่เราก็สามารถเป็นสมาชิกยอดเยี่ยมของทีมได้ ขอเพียงความตั้งใจจริงและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง หากมีโอกาสได้รับมอบหมายงานหรือโปรเจคใดที่แม้จะดูยาก ขอให้มองเป็นความท้าทาย เป็นโอกาสให้ฝึกฝนและแสดงฝีมือ เพราะยิ่งทำมากเราก็จะยิ่งได้เรียนรู้มากและเก่งขึ้นตามไปด้วย

ที่มา : th.jobsdb.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

กิจกรรมภายในองค์กรที่พนักงานปรารถนา



          บุคลากรภายในองค์กรต้องการได้รับการดูแลจากองค์กร ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อเป็นแรงกาย แรงใจในการมุมานะทำงานให้แก่องค์กร และเป็นกลไกสำคัญผลักดันให้องค์กรก้าวไปสู่ความสำเร็จ องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อบุคลากรของตนจะต้องไม่ละเลยการดูแลเอาใจใส่พนักงาน แม้เพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถทำให้บุคลากรมีขวัญและกำลังใจที่ดี พร้อมที่จะอุทิศตนจงรักภักดีต่อองค์กรอย่างไม่เสื่อมคลาย ขอนำเสนอกิจกรรมภายในองค์กรที่จะทำให้พนักงานของคุณปราบปลื้ม และมีความสุขในการทำงานเพิ่มมากขึ้น ดังต่อไปนี้

1. การอบรมพนักงาน
องค์กรควรสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพในการทำงานของบุคลากร ให้เขาได้รับองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสาขาอาชีพของตน โดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมในด้านต่าง ๆ อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อให้บุคลากรได้ทำความรู้นั้นมาเพิ่มความเชี่ยวชาญและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้อง

2. การศึกษาดูงาน
เพื่อเปิดโลกทัศน์ของบุคลากรให้กว้างขวางขึ้น องค์กรควรจัดให้มีการศึกษาดูงานทั้งใน และต่างประเทศ หากไม่สามารถจัดให้กับพนักงานได้ทั้งแผนก อาจทำโดยการคัดเลือกผู้ที่มีผลงานโดดเด่น เป็นผู้ที่จะได้ไปศึกษาดูงาน เป็นการจูงใจให้พนักงานตั้งใจทำงาน ทำผลงานให้ออกมาดีที่สุด

3. การจัดทริปพักผ่อนประจำปี
เป็นกิจกรรมที่บุคลากรทั้งองค์กรได้ทำร่วมกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ภายในองค์กรให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และบุคลากรได้พักผ่อน จากความเหน็ดเหนื่อยที่ทำงานกันมาตลอดทั้งปี

4. การจัดสวัสดิการให้แก่บุคลากร
องค์กรที่มีสวัสดิการดี แม้พนักงานจะไม่ได้เงินเดือนสูงมาก แต่พนักงานก็รักที่จะทำงานให้กับองค์กร เพราะได้รับการดูแลอย่างดีในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดกองทุนให้กับพนักงาน การดูแลครอบครัว บุตรหลานของพนักงาน การจ่ายโบนัสอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสุขภาพประจำปี การส่งเสริมสุขภาพและการออกกำลังกาย รวมทั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการจัดงานวันเกิดให้แก่พนักงาน เป็นต้น

5. การจัดกิจกรรมพนักงานดีเด่น
เป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นความกระตือรือร้นในการทำงานของบุคลากรได้เป็นอย่างดี เมื่อพนักงานมีความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน ได้เป็นคนโปรดของหัวหน้างาน เขาจะเพียรพยายามให้ได้รับการคัดเลือก และเมื่อเพื่อนร่วมงานเห็นคนอื่น ๆ มีพัฒนาการในการทำงาน เขาก็จะต้องพัฒนาตนเองด้วยเช่นกัน กิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นที่ต้องการของบุคลากร แต่ยังจะเป็นผลดีต่อองค์กรที่จะได้พนักงานที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย

          หากองค์กรต้องการมัดใจพนักงานให้รักในงานที่ทำ และทำงานอย่างมีความสุข ดูแลพวกเขาด้วยการให้ความสำคัญ จัดกิจกรรมเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ รวมทั้งพัฒนาสภาพแวดล้อม พัฒนาคุณภาพชีวิต ผลที่ตามมาคือพลังอันยิ่งใหญ่จากเหล่าพนักงานที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จที่ปรารถนา


ที่มา : th.jobsdb.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

5 เรื่องที่ไม่ควรทำ ในการใช้อีเมล์ติดต่อลูกค้า



          เมื่อโลกเดินทางเข้าสู่ยุคการสื่อสารแบบดิจิตอล จึงทำให้“อีเมล์”ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในเชิงพาณิชย์ แม้ว่าจะมีแอพพลิเคชั่นต่างๆที่สามารถส่งข้อความได้โดยตรง,วิดีโอคอล ตลอดจนแพตฟอร์มที่เป็นเครื่องมือประกอบใช้ในกิจการ ซึ่ง “อีเมล์” คือหนึ่งในเครื่องมือเหล่านั้น

ผู้ประกอบการหลายรายใช้อีเมล์ในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า,พาร์ทเนอร์ และเพื่อนร่วมทีม ทว่าในบางครั้งอาจจะมีการใช้ อีเมล์ผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้น หากต้องการใช้อีเมล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณไม่ควรทำ 5 สิ่งเหล่านี้

1.ไม่ควรใช้อีเมล์สนทนาแบบเร่งด่วน
เครื่องมือบางชนิดถูกออกแบบมาเพื่อเหมาะสำหรับการสื่อสารบางอย่าง ซึ่งอีเมล์คือหนึ่งในเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกให้กับทุกคนในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม หากคุณมีงานที่ต้องติดต่อกับลูกค้าแบบเร่งด่วน ณ ขณะนั้น ขอแนะนำว่าไม่ควรส่งข้อความหรือการสนทนาแบบเร่งด่วนผ่านอีเมล์ แต่ควรหันไปใช้เครื่องมืออย่างอื่นที่สามารถส่งข้อความถึงได้โดยตรง เพราะอีเมล์เหมาะสำหรับการสนทนาแบบไม่ Real time หรือการสนทนาที่ต้องมีการอ้างอิงข้อมูล

2.ไม่ควรตั้งชื่ออีเมล์เรื่อยเปื่อย
การตั้งชื่ออีเมล์ คุณควรระบุชื่อจริงลงไปเลยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเองเวลาติดต่อกับลูกค้า ทางที่ดีบริษัทควรจัดทำอีเมล์ของพนักงานในแต่ละคนขึ้นมาเลย ด้วยการขึ้นต้นด้วยชื่อพนักงานและลงท้ายด้วย@ชื่อบริษัท เช่น name@companyname.com เป็นต้น ซึ่งจะทำให้องค์กรของคุณมีวิธีการดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

3.ไม่ควรถามเยอะเกินไป
วัตถุประสงค์ของการใช้อีเมล์คือ การอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ ลดการเจอหน้าในห้องประชุม ด้วยการใช้อีเมล์เป็นบทสนทนาแทน อย่างไรก็ตามในการส่งอีเมล์ติดต่อลูกค้าในแต่ละครั้ง คุณควรคาดหวังจากคำร้องขอที่ส่งผ่านอีเมล์ โดยมีเนื้อหาที่ตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ หรือมีความต้องการร้องขอมากเกินไป เพราะอะไรที่ขอมากเกินไปจากลูกค้า ส่วนใหญ่มักจะได้รับคำตอบด้วยการถูกปฏิเสธ

4.ไม่ควรปล่อยอีเมล์ให้มีจำนวนเยอะเกินไป
การปล่อยให้อีเมล์มีจำนวนมากจนเกินไปจะสร้างความสับสนให้กับตัวของคุณเอง เมื่อถึงเวลาต้องค้นหา ดังนั้น คุณควรจัดระเบียบอีเมล์ตามกลุ่มลูกค้าให้เรียบร้อย หรือไม่บางอีเมล์ที่มีการจัดเก็บไว้นานหรือเห็นว่าไม่ได้ใช้ต่อไปในอนาคตแล้ว ก็ควรลบทิ้งไป

5.ไม่ควรทิ้งระยะเวลาตอบลูกค้านาน
ทันทีที่คุณเห็นอีเมล์ใน Inbox ที่ลูกค้าส่งกลับมา คุณควรตอบกลับทันที ไม่ควรปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน เพราะบางทีคุณอาจจะลืม แล้วไม่ได้ตอบอีเมล์ในที่สุด ทำให้นำความเสียหามาสู่องค์กรและตัวคุณเองได้

          การติดต่อโดยใช้อีเมล์ทำการสื่อสารถือเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ อย่าละเลย หากคุณรู้ขอบเขต หน้าที่ ก็ย่อมส่งผลดีในด้านความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกค้า รักษาลูกค้าให้อยู่กับคุณได้นานอย่างแน่นอน


Cr.smartsme.tv
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก