วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย "ปรัชญาของมด"



ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ ทำให้หลายๆ องค์กรต่างก็ต้องปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขัน การทำงานทุกอย่างจะมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิผล (Effective ness) ของงานมากขึ้น

*** ประสิทธิผล หมายถึง การทำงานที่มุ่งเน้นไปที่ผลสำเร็จภายใต้การใช้ทรัพยากรที่กำหนดให้โดยคำนึงถึงเป้าหมาย

ขณะเดียวกัน เนื่องจากทรัพยากรที่มีจำกัด ทุกองค์กรจึงเน้นที่จะให้การทำงานต่างๆ มีประสิทธิภาพ (Efficiency) ที่มากขึ้น

*** ประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถที่ทำให้เกิดผลในการงาน เป็นการใช้ทรัพยากรโดยคำนึงถึงความคุ้มค่า

ตัวอย่างเช่น นาย ก. เป็นพนักงานขายที่ทำงานแต่เช้ามืดขยัน ไม่ยอมหยุดพัก เลิกงานก็ดึก อย่างนี้เรียกว่ามีประสิทธิภาพ ส่วนขายได้มากน้อยไม่รู้ ในขณะที่นาย ข.พนักงานขายอีกคนหนึ่ง แม้จะขยันน้อยกว่า แต่กลับขายได้มากกว่า เพราะมีการวิเคราะห์ความต้องการลูกค้า และเสนอสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า อย่างนี้เรียกว่ามีประสิทธิผล

โดยทั่วไป คนที่ทำงานอย่างมีประสิทธิผล มักจะมีประสิทธิภาพด้วย และจะทำเช่นนี้ได้ต้องรู้จักสรุปบทเรียนต้องรู้จักการวางแผน ต้องกล้าตัดสินใจและกล้าลงมือทำ เดี๋ยวนี้สิ่งที่ต้องการไม่ใช่การขยันอย่างโง่ๆ เราต้องขยันที่จะฉลาดคิด ฉลาดทำด้วย จึงจะเกิดประสิทธิผลที่เป็นจริงได้

แล้วจะทำงานอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลวันก่อนได้อ่านพบในเว็บพูดถึงปรัชญาของมดที่น่าจะเป็นข้อคิดในการทำงานได้เป็นอย่างดี จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อในที่นี้ ดังนี้

ปรัชญาที่ 1 มดไม่เคยละความพยายาม
หากมันมุ่งหน้าไปทางทิศใดแล้วเกิดอุปสรรค = ถูกปิดกั้นหนทาง มันจะพยายามหาทางเดินทางอื่น มันจะได้ขึ้นไต่ลงไต่ไปรอบๆ มันจะมองหาหนทางอื่นเสมอ
ข้อคิด : จงอย่าละความพยายามในการหาหนทางไปสู่สิ่งที่หมายมาด


ปรัชญาที่ 2 มดคิดถึงฤดูหนาวตลอดฤดูร้อน
มันไม่เคยรักสบายจนคิดเพียงว่าคิมหันตฤดูจะคงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นมันจึงพยายามเก็บสะสมเสบียงไว้สำหรับเหมันต์ตลอดฤดูคิมหันต์หรรษา
ข้อคิด : จงตะหนักถึงความเป็นจริง และเตรียมรับกับเหตุการณ์ในอนาคต


ปรัชญาที่ 3 มดคิดถึงฤดูร้อนตลอดฤดูหนาว
ท่ามกลางความหนาวเหน็บแห่งเหมันต์ มันจะเตือนตัวเองว่า "ความลำบากจะอยู่เพียงไม่นาน แล้วเราก็จะพ้นจากสภาวะเช่นนี้" เมื่อวันที่แสงแห่งความอบอุ่นแรกสาดส่อง มันจะออกมาเริงร่า หากอากาศกลับกลายเป็นหนาวอีกครั้ง มันจะเข้าไปในโพรงอีกครั้ง และออกมารับความอบอุ่นในวันอากาศดีโดยทันใด
ข้อคิด : จงมองทุกสิ่งในเชิงบวกตลอดเวลา


ปรัชญาที่ 4 มดทุ่มเททุกสิ่งเท่าที่สามารถ
มดสามารถเก็บเกี่ยวเสบียงตลอดฤดูร้อนเพื่อเตรียมพร้อมฤดูหนาวให้มากเท่าที่มันจะทำได้
ข้อคิด : จงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเต็มกำลัง


ปรัชญาที่ 5 มดทำงานเป็นทีม
ข้อคิด : สามัคคีคือพลัง สร้างสรรค์ความสำเร็จ


ที่มา : คอลัมน์: สวนทางจน...สนทางรวย, น.ส.พ. โพสต์ ทูเดย์
UP Training อ่านบทความอื่นๆ คลิก 

วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

การประชุมทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ข้อคิดจากจอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์



“คุณรู้สึกอย่างไรต่อการประชุม?” เป็นปุจฉาซึ่ง จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์ ตั้งคำถามไว้ในผลงานเขียนของเขา กับหนังสือชื่อ “ขุมทองของผู้นำ” โดยเฉพาะถ้าคุณสังกัดอยู่ในกลุ่มผู้นำส่วนใหญ่ การประชุมคงไม่ใช่เรื่องที่คุณโปรดปรานนัก! แม็กซ์เวลล์เปรียบเปรยเรื่องนี้ไว้อย่างมีอารมณ์ขันเหลือเฟือว่า การประชุมส่วนใหญ่ให้ผลิตผลไม่ต่างไปจากหมีแพนด้าผสมพันธุ์กันในสวนสัตว์ ความคาดหวังสูง แต่ผลลัพธ์ผิดหวังจนน่าหดหู่!! ทุกคนที่เคยคุ้นกับห้องประชุม รู้ว่าการประชุมอาจใช้เวลาไม่กี่นาที แต่โดยปกติแล้ว เรามักต้อง......

ประชุมชั้นดีอยู่ที่การประชุมก่อนเข้าประชุม
“คุณเคยวางแผนประชุมไว้เป็นอย่างดี แต่โดนตัวแสบ “ไถดะ” แตกกระเจิงหรือใหม่?” แม็กซ์เวลล์ตั้งคำถามอีกครั้ง และเขียนเล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดกับเขาในยุคต้นอาชีพการงาน “การประชุมคณะกรรมการในสมัยที่ผมเป็นผู้นำหนุ่ม ผมเดินเข้าห้องประชุมด้วยแผนที่วางไว้อย่างดี จัดเตรียมวาระการประชุมไว้พร้อม เวลาเคลื่อนผ่านไปเพียง 93 วินาที ผู้นำตัวจริงยึดการประชุมนั้นไว้ได้โดยสิ้นเชิง และจูงจมูกคนอื่นๆ ไปในทิศทางที่เขาต้องการ ในยุคต้นของอาชีพผู้นำ ผมรู้สึกเหมือนเป็นตัวตลก โกเมอร์ ไพล์ คนที่เคยดูคงจำหน้าเด๋อด๋าไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรในนาทีข้างหน้า ผมรู้เพียงว่า ผมไม่อยากเป็นผู้นำตัวตลก!” แม็กซ์เวลล์ บันทึกความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้นไว้อย่างละเอียดยิบ
และจากความสับสนวุ่นวายใจในการประชุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมคณะกรรมการ เขาตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจาก โอลัน เฮนดริกซ์ ครูประจำตัว ผู้ให้คำปรึกษาชี้แนะระหว่างอาหารมื้อกลางวัน แม็กซ์เวลล์เล่าให้ครูฟังว่า “ผมหงุดหงิดเป็นที่สุด ดำเนินการประชุมไม่ได้เรื่องเลย ไม่ให้ผลผลิต บางคราวผู้คนไม่ให้ความร่วมมือ พูดกันยืดยาด ผมควรทำอย่างไร การประชุมจึงจะได้ประสิทธิภาพ?!!” ซึ่งโอลันให้คำอธิบาย เหตุผล 2 ประการ ที่ทำให้การประชุมล้มเหลว คือ ผู้นำไม่มีวาระการประชุมชัดเจน และ คนอื่นในห้องประชุมมีวาระของตนเอง

ทั้ง 2 ข้อนี้ จะก่อให้เกิดเซอร์ไพรส์ โอลันกล่าวต่อ “จอห์น ไม่มีใครชอบเซอร์ไพรส์ ยกเว้นตอนงานวันเกิดเท่านั้น”

แล้วควรทำอย่างไร ?

โอลันอธิบายไว้ว่าง่ายนิดเดียวครับ ก็คือ ต้องประชุมก่อนการประชุมจริง
โอลันอธิบายขยายความ ผมต้องรู้ก่อนว่าใครเป็นผู้เล่นในตัวหลักในการประชุมที่จะมาถึง ไปพบนัดหมายพูดคุยกับคนผู้นั้นก่อนการประชุม (คุยเป็นการส่วนตัวหรือกลุ่มเล็ก) สอบถามความคิดว่าเป็นไปในแนวทางเดียวกันหรือไม่ หากทำเช่นนั้นการประชุมจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ช่างเป็นคำแนะนำที่ช่วยให้ตาสว่างได้ดีแท้! และหากต้องการทำการประชุมเป็นการลงมติเพื่อให้เกิด ผมได้ข้อสรุปเริ่มปฏิบัติการ คุณจำเป็นต้องประชุมก่อนการประชุม เพื่อเตรียมคนให้พร้อมจะลงมติเมื่อเข้าในห้องประชุม เหตุผลมีดังนี้

การประชุมก่อนการประชุม ช่วยโน้มน้าวให้เกิดความเห็นพ้อง
คนส่วนใหญ่จะไม่ตกลงปลงใจในเรื่องที่ตนเองไม่รู้ นั่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ พวกเขาจะให้การตอบรับเชิงบวก ถ้าได้ข้อมูลครบถ้วนรอบรู้ หากคุณเซอร์ไพรส์พวกเขาโดยเสนอข้อมูลใหม่ ปฏิกิริยาแรกสุดจะเป็นการปฏิเสธ ถ้ากลุ่มผู้เล่นหลักตอบสนองในแง่ลบ คนอื่นๆ ก็จะคล้อยตาม การประชุมบ่ายหน้าออกนอกเส้นทาง หลงทิศไปแล้ว ไม่เกิดผลการลงมติตามที่คุณต้องการ ด้วยเหตุนี้ คุณจำเป็นต้องหยั่งเสียงก่อน ทาบทาม ขอความเห็น ก่อนจะเข้าประชุมลงมติ

การประชุมก่อนการประชุม ช่วยให้ผู้ตามได้มุมมองชัดเจน
ผู้นำที่บอกผู้ตามว่า “ทำตามที่ฉันสั่ง!” อ้างอำนาจจากตำแหน่งที่ครองอยู่ จะไปได้ไม่ไกลนัก อย่างเซอร์ไพรส์ผู้อื่น และหวังว่าพวกเขาจะทำความเข้าใจได้ในพริบตา การสรุปรวบรัด ดึงดันทำตามความคิดของตนแต่ผู้เดียวจะทำให้ผู้ตามชะงัก เท้ายันพื้นไม่ยอมเคลื่อนไปข้างหน้า มองมุมมองถูกต้องแก่ผู้ทรงอิทธิพล ชี้ชวนให้พวกเขามองเห็นภาพแท้จริงก่อนการประชุม เขาจะเป็นผู้กระจายข่าวแทนคุณเอง

การประชุมก่อนการประชุม ช่วยเพิ่มอำนาจให้คุณ
ภาวะผู้นำคือ การแผ่อิทธิพล...ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น คุณมีอิทธิพลเหนือผู้อื่นได้อย่างไร? คำตอบก็คือ คุณลงทุนในตัวพวกเขา ลงทุนอย่างไร? เริ่มที่การให้เวลา ถ้าเวลาที่คุณมอบให้เขาจะเป็นห้วงเวลาในห้องประชุม และคุณสั่งการให้เขาดูแลธุรกิจตามวาระที่คุณกำหนดไว้ คุณส่งสัญญาณประเภทไหนเข้าหูพวกเขา? ไม่เลย คุณไม่อาจสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างกัน ไม่มีความสัมพันธ์ ไม่มีความผูกพันว่าเจ้านายมองเห็นคุณค่าในตัวเขา ไม่มีผลใดต่อพวกเขา และไม่เกิดผลใดๆ ในการสร้างอิทธิพลในตัวคุณ...โอลันอธิบายเคล็ดลับซึ่งไม่ยากเลยที่จะนำไปปฏิบัติ

การประชุมก่อนการประชุม ก่อให้เกิดความไว้วางใจ
หน้าที่ลำบากสาหัสเรื่องหนึ่งของผู้นำคือ การเป็นผู้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในองค์กร จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้จำเป็นต้องมีความไว้วางใจระหว่างกัน หากคุณไปพบไปพูดคุยกับผู้อื่นในการประชุมก่อนการประชุม จะเป็นโอกาสที่จะสร้างความไว้วางใจ

การประชุมก่อนการประชุม ช่วยให้คุณเลี่ยงหลบจุดบอด
ผู้นำที่ดีมักจะรู้ว่าเกิดเรื่องราวใด มีสังหรณ์ภาวะผู้นำค่อนข้างจะไว ผู้นำที่ดีต่อเชื่อมกับคนในสังกัด จะสดับรับรู้บรรยากาศ แม้จะจับต้องไม่ได้ เช่น ขวัญกำลังใจ โมเมนตัม วัฒนธรรมองค์กร ฯลฯ แต่ในบางคราว แม้แต่ผู้นำดีที่สุดอาจพลาดอะไรบางอย่างไปได้ ในช่วงการประชุมก่อนการประชุม ผู้ที่พูดคุยด้วยอาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือแนวคิดสุดพิเศษที่จะช่วยให้ผู้นำเลี่ยงหลบการตัดสินใจผิดพลาดได้

แม็กซ์เวลล์ยังอธิบายถึงความสำคัญของการประชุมก่อนการประชุม ว่าเป็นวิธีรัดกุมที่จะดำเนินการประชุมให้อยู่กับร่องกับรอยและได้ผลผลิต นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่เราควรทำความเข้าใจในการประชุมด้วยดังนี้

1) รายการข้อมูล ในช่วงแรกของการประชุม จะใช้เวลาช่วงสั้นๆ ทบทวนเรื่องราวที่เกิดในองค์กร นับจากการประชุมเป็นทางการครั้งที่ผ่านมา รายการนี้ไม่จำเป็นต้องมีการอภิปรายหรือแสดงความเห็น
2) รายการศึกษาวิเคราะห์ วาระการประชุมช่วงที่ 2 จะเป็นเรื่องที่อภิปรายกันโดยสัตย์ซื่อและเปิดเผย ไม่มีการตัดสินใจหรือลงความเห็น เมื่ออภิปรายกันจนเสร็จสิ้นแล้ว จะมีการกำหนดว่าควรจะบันทึกไว้ในกลุ่มสุดท้ายในการประชุมครั้งถัดไปหรือไม่
3) รายการปฏิบัติการ ส่วนท้ายสุดของการประชุม บรรจุรายการที่จำเป็นต้องตัดสินใจลงความเห็นจากวาระการประชุมคราวที่ผ่านมา จะเคลื่อนย้ายมาอยู่ในกลุ่มนี้ได้ต้องผ่านการศึกษาวิเคราะห์โดยถี่ถ้วนแล้ว

แนวคิดของแม็กซ์เวลล์ช่วยให้เราคิดได้ว่า การประชุมจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจดีแท้ หากเราเพียงกำหนดกรอบแนวทางของการประชุมได้อย่างถูกต้อง และการประชุมแต่ละครั้งจะเตรียมการไว้อย่างพอเหมาะ โดยสามารถใช้สิ่งละอันพันละน้อยที่ว่าไปนี้มาทบทวนนำไปใช้ประโยชน์ครับ


ที่มา : หนังสือพิมพ์ Post Today
P Training อ่านบทความอื่นๆ คลิก 

วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560

7 ข้อความผิดพลาดมนุษย์เงินเดือน



วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ 7 ความผิดพลาดของมนุษย์เงินเดือน ขอให้คุณเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่นและเก็บไว้เป็นบทเรียนก่อนชีวิตตัวเองจะประสบพบเจอ

7. คิดถึงเรื่องวางแผนลาออกจากงาน ในวันที่ตัวเองไม่อยากทำงานแล้ว
วินาทีที่คุณพร้อมจะวางแผนลาออกจากงานจริงๆ คือตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณเข้าทำงาน แต่คนส่วนใหญ่ไม่ใช่อย่างนั้น ลองสังเกตุพฤตกรรมของมนุษย์เงินเดือนมือใหม่ดูก็รู้ เงินเดือนเดือนแรกไม่มีใครคิดถึงเรื่องการออม มีแต่คิดถึงเรื่องว่าจะเอาเงินไปใช้อะไรท่าเดียว พอใช้เงินจากการทำงานจนหมด ก็วิ่งหาบัตรเครดิต ใช้เงินในอนาคตล่วงหน้าหลายๆปี ถึงตอนนั้นอยากจะลาออกจากงานก็ยากแล้ว เพราะภาระหนี้สินจ่อบีบคอทุกเดือน

6. ไม่ดิ้นรนยอมทำอาชีพเสริมแต่เนิ่นๆ ติด Comfort Zone เต็มๆ
สมัยก่อนอาชีพเสริมคือทางเลือก สมัยนี้อาชีพเสริมคือทางรอด มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่มักจะมองที่ผลตอบแทนที่ได้เน้นๆเนื้อๆมากกว่าจะลงทุนแล้วต้องผจญความเสี่ยง ในความเป็นจริงการไม่สร้างอาชีพเสริมนั่นเเหละคือสุดยอดความเสี่ยงในยุคที่เศรษฐกิจล่มสลายทั้งโลก ชีวิตมนุษย์มีแต่ความไม่แน่นอน ทำไมถึงคิดว่าการมีรายได้ทางเดียวเป็นเรื่องแน่นอน หลายคนบอกว่าทำธุรกิจมีแต่ความเสี่ยง ก็อย่าเริ่มทีละหลายๆแสนสิครับ 5-6 พันก็เริ่มได้แล้ว รุ่นพี่ผมคนหนึ่งขายของกินตลาดนัด ทุนตั้งตัวแค่ 5 พันกว่าบาท ขาย 1 เดือนแรกถอนทุน และเติบโตพัฒนาต่อยอดมาเรื่อยๆ ทุกวันนี้มีรายได้วันนึงหลักหมื่นจากตลาดนัดที่เดิมนั่นเเหละ

5. เข้าใจผิด คิดว่าเรื่องบริหารเงินแปลว่าขี้งก
เงินเดือนออกแล้ว จะเอาไปทำอะไรดี ไอ้นู่นก็น่าซื้อ ไอ้นี่ก็น่าซื้อ พอซื้อมาปุ๊ปแล้วเท่ห์ ต้องแชร์ลงโซเชียลให้โลกรู้ แต่หารู้มั้ยว่าคุณกำลังตกเป็นเหยื่อของนักการตลาดและเจ้าของสินค้าเหล่านั้นเต็มๆ หน้าที่ของเขาคือพยายามโยกเงินจากกระเป๋าคุณไปใส่กระเป๋าเขาให้มากที่สุด สำหรับมนุษย์เงินเดือนด้วยกันอาจจะชื่นชมที่คุณใช้เงินซื้อของราคาแพง แต่สำหรับนายตัวเองนั้นเห็นแล้วส่ายหน้าทุกคน สิ่งเหล่านั้นสามารถมีได้ถ้าผ่านการคิดและบริหารเป็นอย่างดี แต่ถ้ามีของแบรนด์แต่เงินเก็บไม่มี อันตรายชัวร์

4. คิดในแง่ลบไม่เป็น
คนสูบบุหรี่ไม่มีวันเชื่อว่าตัวเองจะเป็นมะเร็งปอด คนเที่ยวผู้หญิงไม่มีวันเชื่อว่าตัวเองจะติดโรคร้าย คนไม่ออกกำลังกายไม่มีวันเชื่อว่าตัวเองจะเป็นความดันเบาหวาน คนทำงานประจำไม่มีวันเชื่อว่าตัวเองจะตกงาน ทุกวันนี้คุณสามารถมีชีวิตโดยขาดรายได้ได้นานสุดกี่เดือน การตกงานเพราะเจอเรื่องไม่คาดฝันมีจริง อย่าล้อเล่นกันไป บางคนไม่ได้ลาออกจากงานเพราะเรื่องภายในบริษัท แต่ออกเพราะคนที่รักเป็นมะเร็ง ป่วย กำลังต่อสู้กับความตาย หรือเจอเงื่อนไขที่ทำให้ตัวเองกลับไปทำงานประจำไม่ได้อีกต่อไป หรือถ้าคุณบอกว่าไม่มีทางเพราะคุณมีลูก ลูกต้องเลี้ยงดูคุณสิ ลูกค้าผมหลายคนอายุ 60 แล้ว ยังต้องส่งเงินค่าเช่าบ้านให้ลูกอยู่เลย ลูกไม่รบกวนเงินคุณนี่ถือว่าประเสริฐแล้ว

3. เงินเดือนยิ่งเยอะ ยิ่งดี
เงินเดือนยิ่งเยอะ พลังอำนาจในการจับจ่ายและเป็นหนี้ยิ่งมากขึ้น จากประสบการณ์ของลูกค้าผม การมีรายได้มากขึ้นจะมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นเสมอ คนที่ฝึกนิสัยสร้างรายได้แต่ไม่ฝึกนิสัยควบคุมค่าใช้จ่าย ต่อให้มีเงินเดือนเป็นแสนๆก็พินาศได้ ผมเห็นมาเยอะมาก คุณจะต้องเพิ่มสมการการหาเงินด้วย เป็น เงินเดือนเยอะยิ่งดี จ่ายเงินให้น้อยยิ่งยอดเยี่ยม ใช้เงินให้เหลือเยอะๆเผื่อเรื่องไม่คาดฝันในชีวิตจะเกิดขึ้น

2. มองไม่เห็นอนาคใต ว่าอายุการทำงานของมนุษย์เงินเดือนสั้นลงเรื่อยๆ
อินเตอร์เน็ตเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานทุกอย่าง อนาคตองค์กรจะลดขนาดให้เล็กลง แต่ศักยภาพและประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมเพราะเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ ตอนนี้มีหลายคนถูกบีบให้ออกเพราะความสามารถนั้นไม่จำเป็นกับองค์กรอีกต่อไปแล้วก็มีถมไป ลูกค้าของผมหลายๆคนตกงานทั้งๆที่องค์กรขยายกิจการ เติบโต ยอดขายสูงขึ้น และต้องการลดคนงานลงเพื่อตัดปัญหาที่มนุษย์จะสามารถก่อได้ทิ้งไป ต่างประเทศเทรนด์นี้มาเรียบร้อยแล้ว ในประเทศไทยก็เริ่มมีให้เห็นประปราย และที่สำคัญที่สุด ถ้าคุณไม่ได้เป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ปลายทางของคุณกับเส้นทางการทำงานประจำคืออะไร คุณต้องตอบตัวเอง

1. หลงลืมความฝันของตัวเองแล้วใช้ชีวิตอยู่กับโลกของความเป็นจริง
ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการหลงลืมความฝัน แต่หลับหูหลับตาอยู่ในโลกของความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย บางคนอยากเปิดร้านอาหารเล็กๆ เป็นครูสอนร้องเพลง เป็นนักพูดนักเขียนถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ผ่านให้คนรุ่นหลัง แต่ก็ไม่ทำเพราะกังวลโลกของความเป็นจริงมากไป ปล่อยให้คนอื่นมาพูดกรอกหูว่าวาสนาคนเราไม่เท่ากัน ศักยภาพคนเราไม่เท่ากัน ทำไมไม่หัดยอมรับความจริงซะบ้าง ขอเตือนเลยนะครับ มีความฝันอะไรรีบทำ วันนี้ยังมีแรงยังทำไม่ได้ ในอนาคตที่เรี่ยวแรงน้อยลงจะทำได้ดีกว่าวันนี้จริงเหรือ เด็กรุ่นใหม่เขาไม่สนใจโลกของความเป็นจริงแล้ว เราต้องแข่งกับเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต ระหว่างประสบความสำเร็จ มีความสุข กับความตาย อะไรจะมาถึงเราก่อนกัน
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ สู้ๆ


ที่มา : วิชญ์ www.Vittarot.com
UP Training อ่านบทความอื่นๆ คลิก