วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Team Synergy การประสานพลังทีม ( 1+1 ผลลัพธ์ต้องมากกว่า 2)


          การบริหารไสตล์ญี่ปุ่นที่เน้นการทำงานเป็นทีม เป็นที่ยอมรับว่าเป็นแนวทางการบริหารคน ที่ได้ผลมากกว่าสไตล์ การทำงานแบบต่างคนต่างทำ (Individualism) ของประเทศทางตะวันตกหลายประเทศ พูดง่าย ๆ ก็คือฝรั่งเองก็ต้องยอมรับว่า “การทำงานเป็นทีม” นั้นเพิ่มผลิตภาพ (productivity) และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน การทำงานเป็นทีมทำให้เกิด “การประสานพลัง” (Synergy) ซึ่งทำให้ 1 + 1 ได้มากกว่า 2 !!!!

          หลายท่านตระหนักดีถึงภาระหน้าที่ในการเป็นผู้นำทีม ภาระหน้าที่ในการสร้างทีมงาน เป็นการมองจากข้างบนลงข้างล่าง ซึ่งบางท่านทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี บริหารลูกน้องให้ทำงานได้ตามเป้าหมาย ลูกน้องรัก ให้ความเคารพนับถือ มีศรัทธา แต่ผู้บริหารท่านเดิมนั้นเอง กลับมีปัญหากับ “ผู้นำทีม” ของตนเอง 
มุมที่มองข้ามไป” ในเรื่องการทำงานเป็นทีมก็คือ การทำงานเป็นทีมกับผู้นำทีมของตัวเราเอง ซึ่งไม่เป็นประเด็นที่นำมาถกเถียงคุยกันมากเท่าที่ควรจะเป็น
ผู้บริหารที่มีความรู้ ประสบการณ์ดี บริหารทั้งงานผลิต งานขาย-การตลาด การเงิน ฯลฯ ลูกน้องรัก ลูกค้าพอใจ แต่ “ผู้นำทีม” หรือผู้บังคับบัญชา กลับไม่นิยมยกย่องก็มี!!! หลายครั้งหลายคราที่องค์กรต้องเสียมือดี ๆ ไป เสียโอกาสทางธุรกิจไป เพราะประเด็นเรื่องการทำงานเป็นทีมระหว่างลูกทีมกับผู้นำทีม ที่คล้ายกับเกิดศรศิลป์ไม่กินกัน นอกจากมองตาไม่รู้ใจแล้ว ยังรู้สึกขัดหูขัดตาอีกด้วย….

ปัญหาอยู่ที่ไหน?-หลายท่านอาจจะถาม 
บางท่านอาจจะบอกว่าก็คนมันดวงไม่สมพงศ์กัน ลูกน้องบางคนว่า “นาย” เล่นพวก เราเลยไม่รุ่ง ลูกพี่บางคนว่า “ลูกน้อง” ซื่อบื้อ หรือ บางคนสรุปว่าเป็นเพราะขาดคาถามหาจำเริญ คาถาที่ว่านี้มีเพียง 4 วลี “ใช่ครับพี่” “ดีครับท่าน” “ทันครับผม” และ “เหมาะสมครับเจ้านาย" 
ถ้าผู้อ่านเห็นด้วยกับคาถาที่ว่านี้ ก็ไม่ต้องอ่านบทความนี้อีกต่อไป - เพราะจะไม่ได้ประโยชน์อะไร”

หัวใจในการทำงานเป็นทีมนั้นมีอยู่ 4 ข้อ
ข้อแรก คือต้องมี “เป้าหมาย” เดียวกัน
ข้อ 2 คือ “บทบาท” อำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ของทั้ง “ผู้นำทีม” และ “ผู้ตาม” เข้าใจตรงกันมีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ 
ข้อ 3 คือ มีระบบการให้รางวัลค่าตอบแทนที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม 
ข้อสุดท้าย คือต้องมี “ทักษะ” ที่จำเป็นในการทำงานเป็นทีม เช่นการบริหารความขัดแย้ง ความสามารถในการติดต่อสื่อสารให้ถูกช่องทาง ฯลฯ

          ดังนั้นหากผู้นำและลูกทีมมีเป้าหมายที่ขัดแย้งกัน(โดยไม่ต้องตั้งใจ) มีวิธีการทำงานที่ต่างกัน ไม่สนใจหรือมองข้าม “สไตล์” การทำงานของซึ่งกันและกัน การเล่นบทบาทอย่างที่ตัวเองคิดว่าน่าจะเป็น โดยไม่ทันเหลียวมองสัญญาณจาก “ผู้กำกับการแสดง” ว่าต้องการให้ “เล่น” อย่างไร ปัญหาย่อมเกิดขึ้นแน่นอน หน้าที่ของลูกทีม ที่อาจเป็นผู้บริหารด้วยหรือไม่ก็ได้นั้น มีหน้าที่ นั่นคือ การพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมกับ “ผู้บังคับบัญชา” ของตนเองด้วย หน้าที่ของท่านไม่เพียงแต่สร้างทีมงานกับลูกน้องเท่านั้น แต่กับ “นาย” ของเราด้วย การบริหารนั้นมีทั้งแบบบน-ลง-ล่าง (Downward management) ที่เราต้องเป็นผู้นำทีม บริหารลูกทีมสู่เป้าหมาย และแบบล่าง-ขึ้น-บน (Upward management) ที่จะต้องทำให้ลูกพี่และตัวเราเองเกื้อกูลกัน ทำงาน ”เข้าขา” กันอย่างดี เพื่อสร้างผลงานให้ตัวเราเอง ซึ่งก็จะเป็นผลงานของ “นาย” ของเรา ผลงานของทีมงานและเป็นผลงานต่อองค์กรในที่สุด

ที่มา : http://ihears.blogspot.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น