วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ปัญหาและอุปสรรคในการทำ CSR



กระแสเรื่องของการรับผิดชอบต่อสังคม(Corporate Social Responsibility ndash; CSR) ที่กำลังได้รับความสนใจจากธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยขณะนี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งของกระแสการเรียกร้องให้ธุรกิจต้องใส่ใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงที่กว้างกว่าเพียงผู้ถือหุ้นหรือพนักงานในองค์กร การเพิ่มจำนวนของธุรกิจที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา เป็นตัวชี้ว่าแนวโน้มทิศทางของการทำธุรกิจในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางที่ ธุรกิจจำเป็นต้องเข้าไปมีส่วนร่วมรับผิดชอบและส่งเสริมการพัฒนาสังคมมากยิ่งขึ้น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่องค์กรธุรกิจที่ดำเนินการด้าน CSR ในประเทศส่วนใหญ่ยัง ไม่เข้าถึงแก่นความเข้าใจจริง ๆ ของการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมจากงานศึกษาของผมเกี่ยวกับงาน CSR ของบริษัทในประเทศไทยจะมีปัญหาดังต่อไปนี้

1. องค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ไม่เข้าถึงแก่นความเข้าใจจริงๆของการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม
ใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์องค์กร องค์กรที่ทำ CSR ด้วยเหตุผลนี้ส่วนใหญ่จะเน้นการทำกิจกรรมในรูปแบบของการจัด event ต่าง ๆ เช่น การแจกของให้ผู้ประสบภัย การให้ทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้การจัดระดมทุนเพื่อช่วยซื้ออุปกรณ์การศึกษาให้เด็กในชนบท เป็นต้น โดยจะเน้นการประชาสัมพันธ์ว่า ธุรกิจได้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมผ่านสื่อต่าง ๆ ควบคู่ไปด้วย แต่เมื่อกิจกรรมสิ้นสุดถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจ ปัญหาสังคมไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและต่อเนื่องผู้รับความช่วยเหลือยังคงต้องรอคอย ldquo; ผู้ใจบุญ rdquo;คนต่อไปที่จะมาให้ความช่วยเหลือ การแก้ปัญหาของคนเหล่านี้ไม่ยั่งยืนใช้เพื่อพัฒนาชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และตราสินค้า(Brand) ขององค์กรการดำเนินงาน CSR ด้วยแรงจูงใจในลักษณะนี้มีจุดประสงค์คล้ายกับข้อแรก แต่แตกต่างกันที่ ประเภทหลังจะเน้นการดำเนินกิจกรรมที่ต่อเนื่องมากกว่า มักเป็นโครงการในระยะยาวเพื่อหวังผลที่จะได้รับในระยะยาว เช่น การจัดติวนักเรียนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยโครงการเน้นการให้ทุนการศึกษาและให้บัณฑิตกลับไปทำงานพัฒนาท้องถิ่นของตน เป็นต้น ซึ่งบริษัทก็จะได้ทั้งการประชาสัมพันธ์ และการเข้าไปช่วยเหลือ หรือแก้ปัญหาบางอย่างในสังคมโครงการในลักษณะนี้ให้ประโยชน์ต่อเนื่องมากกว่าในลักษณะแรกแต่ก็ยังไม่ได้ส่งผลให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะไม่ได้มีกลไกที่รับประกันความต่อเนื่องในระยะยาวของกิจกรรม

2. ปัญหาเรื่องกฎเกณฑ์ใหม่ๆ
ที่มีผลต่อการทำธุรกิจ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในกลุ่มบริษัทข้ามชาติส่วนใหญ่จะมีการกำหนดกิจกรรมอยู่ในแผนการทำ CSRเนื่องจากได้รับนโยบายหลักจากประเทศแม่การกำหนดเวลาและกิจกรรมสำหรับกิจกรรมอาสาสมัครของพนักงานบริษัท เป็นต้นแต่สำหรับประเทศไทยยังมีปัญหาการจัดสรรเวลาการสูญเสียแรงงานชั่วคราวของพนักงานบริษัท หากใครทำกิจกรรมอาสาสมัครเพราะพนักงานส่วนใหญ่บริษัทไทย พนักงานแต่ละท่านอาจมีงานหลายหน้าที่จึงเป็นอุปสรรคของการจัดสรรเวลา(ปารีณา,รายงานวิจัยเรื่องอาสาสมัครพนักงานองค์กรธุรกิจ,2550)

3. องค์กรที่เสี่ยงในเรื่องการทำธุรกิจมักเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ
มักเป็นองค์กรที่การดำเนินธุรกิจอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมค่อนข้างสูงทัศนคติหรือความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีต่อบริษัทจึงมีผลอย่างมากต่อการยอมให้บริษัทดำเนินธุรกิจในชุมชนนั้นได้หากบริษัทถูกต่อต้านจากชุมชนจะทำให้การดำเนินงานของบริษัทเป็นไปด้วยความยากลำบากและหากเกิดการต่อต้านในจุดหนึ่งก็จะเกิดการขยายไปยังจุดอื่นตามมา ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารของบริษัทดังกล่าวจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้บริษัทเป็นที่ยอมรับจากสังคม
ลักษณะกิจกรรม CSR มักจะดำเนินการในพื้นที่ที่บริษัทตั้งอยู่หรือดำเนินงานอยู่
เช่น การบริจาคเงินให้ชุมชน การจัดทำโครงการพัฒนาชุมชน การพัฒนาอาชีพของชาวบ้านในชุมชน การฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในชุมชน การจ้างคนในชุมชนให้ทำงานในโครงการที่บริษัทริเริ่มขึ้น เป็นต้น

4. ปัญหาวิกฤตการเงิน
การพัฒนาประเด็น CSR ในประเทศไทยช่วง 5 ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเน้นไปที่กิจกรรมช่วยเหลือสังคม ประชาสัมพันธ์ การพัฒนาชุมชนและการวางกลยุทธ์การให้ของภาคธุรกิจ สำหรับในปี พ.ศ. 2552 ประเด็น CSR อาจเปลี่ยนแปลงจากนี้ในทิศทางตรงกันข้าม เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกขนาดของตลาดลดลงอย่างมาก ทำให้บริษัทต้องรัดเข็มขัด มีการตัดลดงบประมาณการทำ CSR อย่างมากเช่นกัน

5.กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนส่วนใหญ่มองว่า ธุรกิจจะใช้กิจกรรม CSRเป็นการปิดบังปัญหาที่ซ่อนเร้นที่ภาคธุรกิจก่อไว้
ธุรกิจส่วนใหญ่ยังไม่มีการบูรณาการ CSR จึงทำให้เกิดคำถามในเรื่องความไม่น่าไว้วางใจจริงใจหรือไม่ ต้องการแก้ปัญหาที่นำไปสู่ความยั่งยืนหรือไม่เพราะเวลาที่ภาคธุรกิจต้องทำ CSR ครั้งใดสิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือจะเชิญสื่อมา และจะมีใครผู้มีชื่อเสียงมาเปิดงานหรือไม่มีเอกสารแจกข่าวให้หนังสือพิมพ์หรือไม่ จากงานวิจัยของ ไกรสร สุธาสินี และคุณสเวอรเช็ค ในปี 2549

สรุป
แรงผลักดันจากภายในและภายนอกประเทศ เป็นสัญญาณที่ชี้ว่า ไม่ช้าก็เร็วองค์กรธุรกิจจะต้องถูกบีบให้ต้องใช้แนวคิด CSR ในการดำเนินการซึ่งอันที่จริงแล้วธุรกิจเอกชนสามารถที่จะให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจของตนเองได้มากกว่าเพียงวัตถุประสงค์ข้างต้นธุรกิจสามารถใช้ CSR เพื่อเป้าหมายเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับองค์กรและสร้างรากฐานความยั่งยืนต่อเนื่องขององค์กรสู่อนาคต


โดย นาง รัตน์ชยากร พุฒด้วง ใน ธรรมาภิบาล
UP Training อ่านบทความอื่นๆ คลิก 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น