วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

พัฒนาตัวเอง ด้วยการเปลี่ยนข้อผิดพลาด ให้เป็นความได้เปรียบ



ผิดแล้วให้รีบออกมายอมรับ – ทุกครั้งที่ก่อความผิด อย่าเข้าข้างตัวเองว่าจะโชคดีไม่มีใครมองเห็น เพราะไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องมีคนเห็นและยิ่งถ้าความผิดพลาดที่ทำไว้ถูกเปิดโปงจากปากคนอื่น หายนะจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าโดยหลังเรื่องแดงขึ้นมาคุณจะถูกมองว่าไม่ซื่อสัตย์ ขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญหน้าความจริง และต่อไปอาจไม่ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานสำคัญอีก ดังนั้นเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม เมื่อไรเกิดข้อพลาดควรชิงออกมายอมรับตั้งแต่เนิ่นๆ

อธิบายด้วยเหตุผล ไม่ใช่คำแก้ตัว -หลังบอกให้รู้ว่าคุณกล้ายอมรับผิด เชื่อเถอะว่าคนส่วนใหญ่จะชื่นชมอยู่ใจว่าคุณเป็นซื่อสัตย์ เชื่อถือได้ สิ่งที่ต้องทำหลังกอบกู้ชื่อเสียงตัวเองในขั้นต้นได้แล้ว คือการอธิบายว่าพลาดได้อย่างไร โดยควรชี้แจงตามความเป็นจริงไม่ใช่ใช้เป็นโอกาสแก้ตัว เช่น “ผมยอมรับผิดที่ปล่อยให้ลูกค้าหลุดมือไป เพราะทำงานไม่เสร็จตามกำหนด” คือการชี้แจงโดยยืดข้อเท็จจริง ต่างจากการแก้ตัวด้วยประโยคที่ว่า “ผมทำลูกค้าหลุดมือไป เพราะสุนัขที่บ้านป่วยตลอดเวลาจนไม่มีเวลาทำงานเลย”

ชี้แจงแนวทางแก้ไข – การยอมรับผิดแล้วนิ่งเฉยไม่ทำอะไรต่อ กับยอมรับผิดแล้วเร่งเดินหน้าแก้ไข แน่นอนว่าอย่างหลังย่อมดีกว่า เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณจริงจังที่จะกอบกู้สถานการณ์ ไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีกและมีความรับผิดชอบ ดังนั้นหากเกิดความผิดพลาดควรชี้แจงว่าจะแก้ไขอย่างไร แล้วลงมือทำทันที

บอกด้วยว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ผิดซ้ำ – นอกจากแก้ไขความผิดพลาดแล้ว อีกอย่างที่ควรทำคือป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ปิดโอกาสไม่ให้เรื่องที่ส่งผลต่อส่วนตัวและส่วนรวมเกิดขึ้นอีก การทำแบบนี้อย่างน้อยก็เป็นหลักประกันให้ทุกฝ่ายได้อุ่นใจและยังบอกให้หัวหน้าเห็นว่าคุณเป็นคนเตรียมความพร้อม มีแผนรับมือเรื่องไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเอาไว้แล้ว

ใช้เป็นบทเรียน – เรื่องไหนผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป เก็บแค่สิ่งที่ใช้เป็นบทเรียนได้ แต่ไม่ควรจมอยู่กับความผิดนั้นนาน จนมันกลายเป็นอุปสรรคฉุดรั้งความก้าวหน้าและปิดกั้นคุณไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย จำไว้ว่าเมื่อแก้ไขความผิดพลาดแล้วควรกลับมาเป็นคนเดิมให้เร็วที่สุด เพื่อแสดงให้เห็นว่า ล้มแล้วก็ลุกได้และพร้อมเดินหน้าต่ออีกครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นและมองโลกในแง่ดี


ที่มา : success และ Marketeer.co.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก 

วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560

ความหมายของ CSR คืออะไร?



นิยาม ความหมายของ CSR มีอธิบายไว้จากหลายแหล่งที่มา ตัวอย่างเช่น
"CSR คือ แนวคิดที่บริษัทผสานความห่วงใยต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไว้ในกระบวนการดำเนิน ธุรกิจและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียภายใต้พื้นฐานการกระทำด้วยความสมัครใจ"

The European Commission
“CSR คือคำมั่นของบริษัทที่จะส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยทำงานรวมกับลูกจ้างและครอบครัวของพวกเขา ชุมชน และสังคมโดยกว้าง เพื่อจะพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของสังคมโดยรวม”

World Business Council on Sustainable Development
“Corporate Social Responsibility หรือที่เรียกเป็นภาษาไทยว่าความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจนั้น หมายถึง การดำเนินธุรกิจภายใต้หลักจริยธรรมและการกำกับที่ดี ควบคู่ไปกับการใส่ใจดูเเลรักษาสังคมและสิ่งเเวดล้อม เพี่อนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน”
คณะทำงานส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งเเวดล้อมของบริษัทจดทะเบียน
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพยและตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
“CSR เป็นเรื่องของการที่องค์กรตอบสนองต่อประเด็นเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งที่การให้ประโยชน์กับคน ชุมชน และสังคมนอกจากนั้น ยังเป็นเรื่องของบทบาทขององค์กรธุรกิจในสังคม และความคาดหวังของสังคมที่มีต่อองค์กรธุรกิจ โดยจะต้องทำด้วยความสมัครใจ และผู้บริหารจะต้องมี
บทบาทเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ โดยสามารถวัดผลได้ใน 3 มิติ คือ การวัดผลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อันจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ”

ISO 26000
“CSR คือการดำเนินกิจกรรมภายในและภายนอกองค์กรที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม ทั้งในระดับใกล้ (ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์กร เช่น ลูกค้า คู่ค้า ครอบครัว พนักงาน ชุมชนท้องถิ่นที่องค์กรตั้งอยู่) และระดับไกล (ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรทางอ้อม เช่น คู่แข่งขันทางธุรกิจ ประชาชนโดยทั่วไป) ด้วย
การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กรหรือทรัพยากรจากภายนอกองค์กร ในอันที่จะทำให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข”
สถาบันไทยพัฒน์ ภายใต้มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
นอกจากนี้ ยังมีการตีความ CSR ว่าเป็นกิจกรรมที่รวมทั้งการคิด การพูด และการกระทำซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การวางแผน การตัดสินใจ การสื่อสารประช าสัมพันธ์ การบริหารจัดการและการดำเนินงานขององค์กรที่ดำเนินการในพื้นที่ของสังคม โดยที่สังคมใกล้ ซึ่งหมายถึง ลูกค้า คู่ค้า ครอบครัวพนักงาน ชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่ ซึ่งรวมถึงสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศน์ และสังคมไกล ซึ่งหมายถึง ผู้เกี่ยวข้องกับองค์กรโดยอ้อม ได้แก่ คู่แข่งขันทางธุรกิจ ประชาชนทั่วไป เป็นต้น ในนิยามข้างต้น ยังได้อธิบายถึงความเกี่ยวข้องกับผู้คนในมิติต่างๆ ประกอบด้วย ลูกค้า คู่ค้า ชุมชนและสภาพแวดล้อม ประชาสังคม และคู่
แข่งขันธุรกิจ

สามารถกล่าวโดยสรุปได้ว่า CSR หรือความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจนั้น หมายถึง การดำเนินธุรกิจภายใต้หลักจริยธรรมและการกำกับดูแลกิจการที่ดีควบคู่ไปกับการใส่ใจรักษาสังคมและสิ่งเเวดล้อม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน อธิบายโดยขยายความได้ว่า การดำเนินกิจกรรมภายในและภายนอกองค์กรที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม ทั้งในระดับใกล้และไกล โดยไม่ไปเบียดเบียนฝ่ายใดทั้งสิ้น องค์กรที่มี CSR ย่อมไม่ขูดรีดแรงงานลูกจ้าง ไม่ฉ้อโกงลูกค้า ไม่เอาเปรียบคู่ค้า ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือทำร้ายชุมชนโดยรอบ ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์สุขแก่องค์กรและสังคม อันนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนนั่นเอง


ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ จาก www.csri.or.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

5 เคล็ดลับแก้แฮงค์หลังปาร์ตี้งานสัมมนาทีมบิ้วดิ้ง (Team building), วอลล์เเรลลี่ (Walk Rally)



          เราเชื่อว่าเวลาที่ทุกคนต้องไปงานเลี้ยง งานปาร์ตี้ งานสัมมนาทีมบิ้วดิ้ง (Team building), วอลล์เเรลลี่ (Walk Rally) หลังงานก็คง Enjoy และสนุกกับปาร์ตี้ บางทีมันก็คุมความสนุกได้ยาก หลายคนทั้งดื่มทั้งเต้นกันจนเมา ตอนที่อยู่ในงานก็คงไม่เท่าไหร่ แต่พอมาถึงตอนเช้าทีไร มันมักจะเกิดอาการเมาค้างหรือที่เรียกกันว่า แฮงค์ (Hangover) กันทุกที อาการแบบนี้มันสร้างความทรมานและพาลจะไม่อยากทำอะไรไปทั้งวัน เอาเป็นว่าในวันนี้น้องกล้วยหอมเลยมีเคล็ดลับการแก้แฮงค์ง่ายๆ มาฝากกัน ลองไปดูกันเลย

1.ใช้ความเปรี้ยวเข้าช่วย
หากว่าคุณตื่นมาแล้วเกิดอาการแฮงค์แบบสุดพลัง วิธีง๊ายง่ายที่จะช่วยฟื้นคืนความสดชื่นคือการใช้ความเปรี้ยวเข้าช่วย เปิดตู้เย็น มองหามะนาวเปรี้ยวๆ สักหนึ่งลูก คั้นน้ำออกมาแล้วก็ดื่มเข้าไปเลย ความเปรี้ยวจะช่วยให้คุณตาสว่างและวิตามินซียังช่วยลดปริมาณสารตกค้างในตับได้

2.ดื่มน้ำขิงอุ่นๆ
อีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยให้คุณหายแฮงค์ได้คือน้ำขิงอุ่นๆ เพราะน้ำขิงมีคุณประโยชน์มากมายในการขับลม ช่วยเรื่องระบบหายใจ ทำให้คุณหายปวดหัวจากอาการแฮงค์จากงานเลี้ยงสังสรรค์ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

3.กินข้าวต้มร้อนๆ
หากว่าคุณเกิดอาการพะอืดพะอม อยากจะอ้วก กินอะไรไม่ลง หลังจากงานปาร์ตี้หนักเมื่อคืน ก็ลองหาข้าวต้มหรือซุปร้อนๆ มากิน เพราะความร้อนจะช่วยให้คุณดีขึ้น ช่วยทำให้เหงื่อออกและขับแอลกอฮอล์ในร่างกายได้

4.แก้แฮงค์ด้วยโปรตีน
อีกหนึ่งวิธีแก้แฮงค์จากงานปาร์ตี้สุดเหวี่ยงได้ เมื่อคุณปวดหัวมากๆ ลองกินอาหารประเภทโปรตีน เช่น อกไก่ ไข่ขาว เพราะโปรตีน มีหน้าที่เป็นตัวจับสารพิษในร่างกาย คุณจะได้รู้สึกดีขึ้น นอกจากนี้ยังไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างเวลาแฮงค์อีกด้วย หาอะไรกินเถอะค่ะ!

5.ออกไปสูดอาการสดชื่น
อีกหนึ่งวิธีคือลุกออกจากเตียง อย่านอนซมทั้งวัน เพราะมันจะทำให้คุณยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ทางที่ดี อาบน้ำแต่งตัว หาอะไรกิน แล้วออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะอากาศดีๆ รับรองว่าคุณจะต้องดีขึ้นแน่นอน

          และนี่ก็เป็นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้อาการแฮงค์ของคุณดีขึ้นได้จากงานปาร์ตี้ งานเลี้ยงสังสรรค์สุดเหวี่ยง และคราวหน้าจะพาทุกคนไปพบกับบทความเรื่องอะไร รอติดตามชมกันนะคะ


อ้างอิงจาก : eventbanana.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560

Make up idea โทนแต่งหน้าแบบสุภาพ งานสัมมนา, Team building, Walk Rally, CSR, งานเลี้ยงสังสรรค์ปาร์ตี้ งานไหนก็รอด!



         
          ในเดือนมีนาคมแบบนี้ เป็นอีกหนึ่งเดือนที่ใครหลายคนเลือกจัดงานแต่งงาน ไปจนถึงงานหมั้น งานเลี้ยงสังสรรค์ งานปาร์ตี้ สำหรับสาวๆ ทุกคนที่ได้รับเชิญให้ไปงานเลี้ยง งานแต่งงานต่างๆ ก็ต้องเตรียมตัวกันตั้งแต่หัวจรดเท้า ไหนจะเรื่องชุด เรื่องผม ไปจนถึงการแต่งหน้าก็เพราะบางทีสถานที่จัดปาร์ตี้ ห้องจัดเลี้ยง มันสุดแสนจะหรูหรา จะให้เราไปแบบธรรมดาไก่กามันไม่ได้! ในวันนี้น้องกล้วยหอมเลยขอเอาใจสาวๆ ทุกคนด้วยการนำโทนแต่งหน้าสีสุภาพมาฝากกัน รับรองเลยว่าสวยเป๊ะ แต่งไปงานไหนก็รอด ลองไปดูกันเลย!

มาถึงโทนสีแรกที่สุดแสนจะคลาสสิกกับการแต่งหน้าสวยๆ เป๊ะๆ แบบโทนสีนู้ดไปงานเลี้ยงหรืองานปาร์ตี้มันช่างเข้ากันได้ดีหรือเจ้าสาวส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกโทนนี้ในงานแต่งงาน ซึ่งจุดเด่นของการแต่งหน้าในโทนนี้คือการลงงานผิวให้สวยปัง ไม่เน้นการใช้สีสันอะไรมากมาย เลือกใช้ลิปสติกโทนสีนู้ดและสีตาให้ดูนู้ดๆ นัวๆ โดยสาวๆ สามารถเพิ่มความสวยงามให้ดวงตาสำหรับการแต่งหน้าโทนนี้ได้ด้วยการติดขนตายาวๆ ไม่ต้องปัดแก้มเยอะแต่ใช้การ Contour เพื่อสร้างมิติให้แก่ใบหน้าแทน เท่านี้ก็สวยคลาสสิกในโทนนู้ดแล้วล่ะ

สำหรับอีกหนึ่งโทนเมคอัพที่แต่งแล้วเกิดแน่นอน โดยเฉพาะการออกงานตอนกลางคืนกับโทนสีทองหรือสีน้ำตาลทอง ที่จะทำให้สาวๆ ได้ลุคแบบเรียบหรูดูดีเหมาะสำหรับไปงานทุกประเภทเลยล่ะ โดยเฉพาะงานปาร์ตี้ งานเลี้ยงสังสรรค์ยามค่ำคืนหรือแม้แต่งานแต่งงานก็ยังได้ เพียงแค่สาวๆ ยืนพื้นใช้สีหลักในการแต่งหน้าด้วยสีทองแต่งแต้มดวงตา กรีดอายไลน์เนอร์ให้สวยเป๊ะ ปัดแก้มสีอ่อนๆ อาจจะเพิ่มความสวยงามให้แก่สีปากด้วยลิปสติกโทนนู้ดหรือลิปกรอสรวมถึงสีแดง Bergundy ก็ดูสวยดีไปอีกแบบ แค่นี้ก็พร้อมที่จะสวยเฉิดฉายในงานปาร์ตี้แล้ว!

อีกหนึ่งโทนเมคอัพที่ต้องขอบอกไว้เลยว่าสวยและน่ารักสุดๆ กับการใช้สีพีชหรือสีชมพูอมส้ม ใครแต่งโทนนี้ก็รอดทุกราย ที่สำคัญยังทำให้ดูน่ารักแบบสาวหวานสไตล์เกาหลีพร้อมดูสวยที่สุดในห้องจัดเลี้ยง! การแต่งหน้าโทนนี้ก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่คุณลงผิวหน้าให้สวยเป๊ะก่อน ดูดีประหนึ่งว่าตื่นมาก็ผิวดีแบบนี้เลย จากนั้นมาถึงดวงตา จะลงสีพีชสีเดียวแล้วกรีดอายไลน์เนอร์ไปเลยหรือจะสร้างมิติด้วยการใช้กลิตเตอร์เข้ามาช่วยก็ดูเก๋ไปอีกแบบ จากนั้นปัดแก้มโทนพีชน่ารักๆ และจบด้วยลิปสติกโทนเดียวกัน เท่านี้ก็เรียบร้อย! เตรียมตัวไปสวยๆ หวานๆ ในงานปาร์ตี้ได้เลย!

มาถึงโทนสีสุดท้ายกับโทนสีน้ำตาล เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโทนสียอดนิยมในการเลือกแต่งหน้าไปงานเลี้ยงสังสรรค์หรืองานแต่งงานต่างๆ เพราะว่าแต่งง่าย แต่งออกมาแล้วดูดี เหมาะสำหรับสาวๆ ทุกสีผิว โดยสาวๆ สามารถสร้างความโดดเด่นให้ดวงตาด้วยการเลือกใช้สีน้ำตาลอ่อนจากนั้นค่อยสร้างมิติด้วยน้ำตาลเข้มและเพิ่มความสวยเก๋ด้วยกลิตเตอร์ ติดขนตาให้หนาฟู คอนทัวร์หน้าเพิ่มความเรียว และใช้ลิปสติกโทนสีเข้มก็ได้หรือจะใช้โทนสีนู้ดก็ได้เช่นเดียวกัน

เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับโทนแต่งหน้าสีสุภาพสวยๆ ที่เราเอามาฝากกัน สาวๆ ก็สามารถเลือกปรับแต่งให้เข้ากับตัวเองได้ตามใจเลย

เขียนโดย : น้องกล้วยหอม (www.eventbanana.com)
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม เมื่อทำงานเป็นทีม



          ในชีวิตการทำงานเราจะต้องเจอวิธีการทำงานที่หลากหลายรูปแบบ และอีกหนึ่งรูปแบบที่ไม่ว่าเราจะเก่งแค่ไหนก็หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือ การทำงานเป็นทีม และแน่นอนว่านี่คือรูปแบบการทำงานที่อาจทำให้เราเจอปัญหาไม่ใช่แค่กับตัวเนื้องาน แต่กับคนทำงานด้วยกันนั่นแหละที่อาจสร้างความยุ่งยากใจได้ในบางครั้ง ถ้าอย่างนั้นทำใจไว้ก่อนเลยว่าเราจะต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากใจใดบ้างในการทำงานเป็นทีม

แตกต่างทางความคิด
นี่คือเรื่องอันดับต้นที่เราต้องเจอในขณะที่ทำงานกันเป็นทีม ต่อให้ทุกคนในทีมจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่วิธีการเดินให้ถึงเป้าหมายนั้นยากนักที่จะเห็นเหมือนกัน ดังนั้นทำใจไว้เลยว่านี่คือสิ่งที่เราต้องเผชิญแน่ ๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองว่านี่คือปัญหา หรือเรื่องธรรมดา ซึ่งแน่นอนว่าคนที่มองว่าความแตกต่างทางความคิดเป็นเรื่องธรรมดานั้นมักได้เปรียบ เพราะเราจะสามารถเรียนรู้และปรับตัวที่จะอยู่กับความคิดของทุกคนในทีมได้อย่างสบาย ๆ หลักการง่าย ๆ ท่องไว้เลยว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราต้องใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์เสมอ

ประสบการณ์และความถนัดของคนในทีม
คนที่ถูกคัดเลือกให้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมนั้นย่อมมีความแตกต่างทางด้านประสบการณ์และความถนัด ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความหลากหลาย หรืออาจเรียกว่าเพื่อความกลมกล่อมของชิ้นงาน แต่บางครั้งประสบการณ์และความถนัดของแต่ละคนนี่แหละ ที่อาจทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันได้ เช่น คนที่มีประสบการณ์มากกว่าอาจรู้สึกว่าทำไมอีกคนทำงานไม่ทันใจ คิดงานไม่ตรงใจ หรืองานเดินช้า ดังนั้นเราต้องไม่ลืมว่าแต่ละคนมีประสบการณ์และความถนัดต่างกัน เขาคนนั้นอาจจะมีความถนัดอีกอย่างที่เราไม่สามารถทำได้ก็ได้ ต้องเข้าใจว่าแต่ละคนมีความถนัดไม่เหมือนกัน และมีประสบการณ์ไม่เท่ากัน สมาชิกในทีมต้องช่วยกันแนะนำ ประคับประคอง ให้งานบรรลุตามเป้าหมายให้ได้ และต้องให้โอกาสสมาชิกในทีมได้สั่งสมประสบการณ์ และได้ลองทำอะไรที่ไม่ถนัดบ้าง แม้งานอาจจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างยากลำบากไปสักหน่อย แต่คนในทีมก็ได้พัฒนาศักยภาพในการทำงานด้วย

ขาดความไว้วางใจ
สิ่งหนึ่งที่พบบ่อย ๆ ในการทำงานเป็นทีมนั่นก็คือ การขาดความไว้วางใจ และสิ่งนี้เองที่เป็นเหมือนสารตั้งต้นให้เกิดความขัดแย้งที่ใหญ่ขึ้น จนบางครั้งถึงขั้นร้าวรานกันในระยะยาว และถ้าคุณตกอยู่ในสถานะที่ใครคนใดในทีมเกิดความไม่ไว้วางใจคุณขึ้นมา อย่างแรกที่คุณต้องทำก็คือตั้งสติ อย่ากระฟัดกระเฟียดตีโพยตีพาย เพราะมันจะยิ่งทำให้คุณขาดความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก แต่ให้ใช้ความนิ่งและปัญญาในการพิสูจน์ตัวตนว่าคุณเองสามารถทำงานนี้ได้ และเมื่อคุณเริ่มมีโอกาสได้แสดงศักยภาพในตัวของคุณ ความไว้วางใจจากคนในทีมที่มีต่อคุณก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

ไม่เผชิญหน้าแก้ปัญหา
ในระหว่างการทำงานนั้นเราทุกคนล้วนเจอปัญหา ซึ่งโดยปกติเราก็ต้องค่อย ๆ แก้ไขกันไป แต่ในทางเดียวกันก็มักจะมีคนบางประเภทที่พอเจอปัญหาแก้ไม่ได้ แต่ไม่กล้าขอคำปรึกษา และไม่กล้าบอกคนอื่น ๆ ในทีม ทำให้ปัญหาพอกพูน จากที่เล็กน้อย จนอาจจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา คนในทีมก็ต้องวุ่นวาย เพราะฉะนั้น คนในทีมต้องสื่อสารกันเยอะ ๆ ต้องมีการอัปเดตงานกันบ่อย ๆ เผื่อว่าถ้ามีงานอะไรที่ติดปัญหาอยู่ จะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา ได้อย่างทันท่วงที

คำพูดกระทบกระทั่ง
การปะทะทางอารมณ์นั้นย่อมเกิดขึ้นได้บ้างในระหว่างการทำงานเป็นทีม ฉะนั้นทำใจไว้เลยว่าไม่ว่าจะอย่างไรเราต้องเจอแน่ ๆ ส่วนทางแก้ก็คือเราต้องทำความเข้าใจว่าเรากำลังทำงาน และเรามีเป้าหมายให้ชิ้นงานนั้นสำเร็จ การระดมความคิด การแสดงความคิดเห็นย่อมกระทบกระทั่งกันได้บ้าง แต่อารมณ์ต้องจบในที่ประชุม อย่าดึงมาผูกติดกับชีวิตจริงจนทำลายมิตรภาพกันไปเสียเปล่า ๆ กระทบกระทั่งเรื่องงานก็ส่วนงาน พอเวลานอกเหนือจากงาน ก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีกันเหมือนเดิม

          ไม่ว่าการทำงานเป็นทีมจะทำให้คุณลำบากใจสักแค่ไหน ขอให้คิดไว้ว่าสุดท้ายแล้ว คุณก็มีเป้าหมายเดียวกัน ฉะนั้น ไม่ว่าเหตุการณ์ใดที่กล่าวมาข้างต้นเกิดขึ้นกับคุณ ขอให้คุณตั้งสติ และทำงานร่วมกับคนในทีมของคุณด้วยความสุข แล้วการทำงานในแต่ละวันของคุณก็จะดีขึ้นกว่าเดิม


ที่มา : th.jobsdb.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก 

วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560

เคล็ดลับสุขภาพดี เรื่องง่ายๆ ที่มนุษย์เงินเดือนไม่เคยรู้



          สำหรับคนทำงานในยุคดิจิตอล สิ่งที่ประฏิเสธไม่ได้เลย ก็คือการจ้องหน้าคอม หรือนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน จนเกิดอาการปวดเมื่อย หรือที่เรียกกันว่าโรคออฟฟิศซินโดรม ซึ่งหากปล่อยไว้ให้เรื้อรัง อาจถึงขั้นกระดูกทับเส้นประสาทจนเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตเลยก็ได้ ! แล้วถ้าเรามีวิธีป้องกันด้วยท่าบริหารง่ายๆ ที่สามารถทำได้แม้ในที่ทำงาน แล้วคุณจะไม่ทำจริงเหรอ ?

1. ก้มหน้าจ้องคอมนาน อย่าลืมบริหารต้นคอ
ท่านี้ จะช่วยเลี่ยงอาการกดทับเส้นประสาทหรือกระดูกสันหลังได้ ให้ใช้มือขวาอ้อมบนศรีษะไปจับหูข้างซ้าย (ปลายหูด้านบน ) ทำท่านี้ค้างไว้ แล้วสูดลมหายใจเข้า-ออกลึกๆ ช้าๆ เป็นจำนวน 5 ครั้ง จากนั้นให้เปลี่ยนมือทำสลับกันอีกช้าง เท่านี้กล้ามเนื้อต้นคอที่รู้สึกตึงๆ ก็จะเปลี่ยนเป็นความผ่อนคลายได้ภายในไม่ถึง 30 วินาที และถ้าใครยังไม่เชื่อ ต้องลองเลย!


   
2. แก้ไหล่ห่อ บนเก้าอี้ที่ทำงาน
ท่านี้ จะช่วยแก้อาการหลังค่อม ไหล่ตก ไหล่หอได้เป็นอย่างดี ให้นั่งหลังตัวตรงๆ บนเก้าอี้ที่Officeของเราเนี้ยแหละ จากนั้นให้ประสานมือไว้ด้านหลัง แล้วยกพาดไว้กับพนักพิงเก้าอี้ของเรา หายใจเข้า-ออกลึกๆ 5ครั้ง เวลาทำจะรู้สึกตึงๆบริเวณหัวไหล่เล็กน้อย แต่จะช่วยร่างกายให้ผ่อนคลายได้มาก และถ้าใครยังไม่เชื่อ ต้องลองเลย !



3. พิมพ์เยอะ ต้องผ่อนนิ้วมือ
ท่านี้ ช่วยป้องกันอาการนิ้วล็อคได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ทั่วบริเวณท่อนแขนอีกด้วย เพียงยืดแขนไปด้านหน้า หงายข้อมือข้างใดข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างดันปลายนิ้วเข้าหาตัวเรา ทำค้างไว้ประมาณ 5- 10 วินาที จากนั้นสลับมือทำอีกข้าง แค่นี้ก็ช่วยให้ร่างกายรู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และถ้าใครยังไม่เชื่อ ต้องลองเลย !



4. 1 นาทีหน้าโต๊ะคอม กระชับสัดส่วน
ท่านี้บอกเลยสาวๆไม่ควรพลาด เพราะช่วยกระชับต้นขาให้เรียวเล็กสมดั่งใจปราถนา และสามารถทำได้ง่ายๆ แค่นั่งเก้าอี้ให้มั่น ยกเท้าขวาขึ้นมาพาดในลักษณะไขว่ห้าง แล้วก้มตัวไปด้านหน้าเอามือเตะพื้นค้างไว้ 15 วินาที แล้วเปลี่ยนฝั่งทำอีกข้าง เมื่อครบทั้ง 2 ข้างนับเป็นหนึ่งรอบ โดยทำวันละ 3-5 รอบ เท่านี้ต้นขาก็จะกระชับแข็งแรง แถมยังช่วยคลายหลังที่เมื่อยตึงได้อีกด้วย และถ้าใครยังไม่เชื่อ ต้องลองเลย !



5. พักหน้าจอ 1 นาที คลายเมื่อยตลอดวัน
ท่านี้ รับประกันว่าคลายเมื่อยได้ทั้งแขนไหล่หลัง แค่ยกแขนทั้ง 2 ข้าง งอศอกขวาไปทางด้านหลัง ใช้มือซ้ายอ้อมหลังศรีษะไปจับข้อศอกขวา ค่อยๆดึงเข้าหาลำตัวจนพอรู้สึกตึง ค้างไว้ 15 วินาที แล้วทำสลับกันอีกข้าง โดยจะนับเป็นหนึ่งรอบ แนะนำให้ทำวันละ 3-5 รอบ เพราะท่านี้จะช่วยจัดกระดูกเรา ตั้งแต่แขนไหล่หลังให้เข้าที่ไม่บิดเบี้ยว ซึ่งถ้าใครยังไม่เชื่อ ต้องลองเลย!




          ถึงเวลาต้องเปลี่ยนความคิด! ถ้าใครคิดว่าการออกกำลังกายในที่ทำงานเป็นเรื่องน่าอาย น่าเบื่อ หรืออาจดูไม่เหมาะสม ให้ลองถามตัวเองใหม่อีกที จะบริหารร่างกายวันนี้ หรือจะนอนจมกับโรคร้ายในวันหน้า ! ถ้าเลือกได้แล้ว ก็ลงมือทำ แล้วสะกิดบอกคนรอบข้างด้วยก็ดี จะได้ไม่ต้อง “ทำงานหาเงิน เพื่อไปรักษาสุขภาพในวันข้างหน้า"

ที่มา : healthyliving.in.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก