วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทำไม? "ทีมงาน" ไม่ "เวิร์ค"



          คำว่า “ทีมเวิร์ค” มาจากภาษาอังกฤษ ซึ่งกำลังกลายเป็นภาษาไทยไปแล้ว เรามาดูคำแรก “ทีม” (Team) หมายถึงกอง, หน่วย, คณะ, หรือความหมายที่กว้างออกไปคือ รวมกันเป็นกลุ่มหรือหน่วย ประสานงานกัน หรือการขับรถไปด้วยกันหลายคัน เป็นต้น

ส่วนคำว่า “เวิร์ค” (Work) หมายถึงงาน, การงาน, การทำงาน, สิ่งที่ทำ, ผลิตผลของการทำงาน, งานฝีมือ, สิ่งก่อสร้าง, หรือพฤติกรรม เวิร์คในช่องของ adj. นั้นเกี่ยวกับงาน ในช่องของ vi. เกี่ยวกับรับจ้างทำงาน ดำเนินงาน เดินเครื่อง ใช้สอย ได้ผล ทำด้วยมือหรือทำด้วยสมอง ในช่องของ vt. เกี่ยวกับจัดการ ควบคุม ใช้งาน ทำให้ได้ผล ทำอย่างปราณีต กระ ตุ้นและปลุกเร้าอารมณ์ อีกคำหนึ่ง “เวิร์คเอ้าท์” (work out) คือ คิดออก คำนวณ แก้ปัญหา และพิสูจน์ว่าเป็นไปได้

เมื่อเอาสองคำ (ทีมเวิร์ค) นี้มาผสมรวมกัน ก็คงจะได้ใจความว่า “กลุ่มคนที่ทำงานประสานกันอย่างดี และทำงานให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้” เหมือนกับที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดีกล่าวถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันว่า “ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกัน มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดีและน่าชื่นใจมากสักเท่าใด”

ความหมายของทีมเวิร์ค
นักพัฒนาบุคลิกภาพท่านหนึ่งได้กล่าวว่า ทีมเวิร์คหมายถึงกลุ่มคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่มารวมตัวกันเพื่อทำงานอย่างใด อย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างให้สำเร็จร่วมกัน ซึ่งปกติแล้วงานดังกล่าวนั้นจะไม่มีใครสามารถทำมันให้สำเร็จลุล่วงแต่เพียง ลำพังได้...ในการรวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะนั้น พวกเขาจะถูกเรียกว่า “ทีมเวิร์ค”
เปาโลได้เปรียบเทียบงานผู้ที่ทำงานรับใช้พระเจ้าเป็นเหมือนร่างกาย “ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น” “ความจริงมีอวัยวะหลายอย่าง แต่ก็ยังเป็นร่างกายเดียวกัน” ต่างมีความต้องการและพึ่งพาอาศัยกัน “แต่พระเจ้าได้ทรงให้อวัยวะของร่างกายเสมอภาคกัน...เพื่อมิให้มีการแก่งแย่ง กันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนพะวงซึ่งกันและกัน”

ในการทำงานเป็นทีมเวิร์คนั้น
ประการแรก จะต้องมีการะดมความสามารถทางด้านสมองหรือพลังสติปัญญาร่วมกัน
ประการที่สอง จะต้องมีการระดมความสามารถทางด้านแรงกาย
ประการที่สาม จะต้องมีการระดมความสามารถทางด้านจิตใจ และ
ประการสุดท้าย จะต้องมีการระดมความสามารถทางด้านจิตวิญญาณ

เก่งคิดเก่งทำยังไม่พอ จะต้องสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ อีกทั้งยังต้องเป็นคนที่มีจริยธรรม ศีลธรรม และคุณธรรมทางด้านจิตวิญญาณด้วย การทำงานเป็นทีมเวิร์คในทัศนะของคริสเตียนนั้น เกี่ยวข้องทั้งสามด้าน ได้แก่ร่างกาย จิตใจ (อารมณ์)และจิตวิญญาณ กล่าวคือ
- ทุกคนต้องมีจุดประสงค์เดียวกันที่จะอยู่ร่วมกัน
- ทุกคนต้องทำงานโดยมีเป้าหมายเดียวกัน
- ทุกคนต้องเล็งเห็นประโยชน์ของการทำงานร่วมกัน
- ทุกคนต้องถือกฏกติกาและมารยาทในการทำงานเดียวกัน
- ทุกคนต้องถูกกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบไว้อย่างชัดเจน
- ทุกคนต้องมีหัวหน้ากลุ่มคนเดียวกัน
- ทุกคนต้องรับผิดชอบในความสำเร็จหรือล้มเหลวร่วมกัน


อ้างอิง : http://thaisermons.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แบ่งประเภททีมงานตามวัตถุประสงค์ ให้ได้งานที่ตรงเป้าหมาย



เพื่อการสร้างทีมที่จัดการงานได้ตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น 
การแบ่งทีมในองค์กรสามารถที่จะแบ่งประเภท ตามวัตถุประสงค์ได้ 4 รูปแบบคือ
1. ทีมแก้ปัญหา (Problem – Solving Teams) ประกอบด้วยกลุ่มของพนักงาน และผู้บริหารซึ่งเข้ามารวมกลุ่มด้วยความสมัครใจ และประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่ออภิปรายหาวิธีการสำหรับการแก้ปัญหา โดยทั่วไปทีมแก้ปัญหาทำหน้าที่เพียงให้คำแนะนำเท่านั้น แต่จะไม่มีอำนาจที่จะทำให้เกิดการกระทำ ตามคำแนะนำ ตัวอย่างของทีมแก้ปัญหาที่นิยมทำกัน คือ ทีม QC (Quality Circles)

2. ทีมบริหารตนเอง (Self – Managed Teams) หมายถึง ทีมที่สมาชิกทุกคนล้วนรับผิดชอบต่อลักษณะทั้งหมดของการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง โดยเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารซึ่งสมาชิกจะปฏิบัติงานโดยทั่วไป มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบสำหรับงานทีมบริหารตนเองสามารถที่จะเลือกสมาชิกผู้ร่วมทีม และสามารถให้สมาชิกมีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน

3. ทีมที่ทำงานข้ามหน้าที่กัน (Cross – Function Teams) เป็นการประสมประสานข้ามหน้าที่งาน ความสามารถในการดึงทรัพยากรบุคคลผนวกเข้าด้วยกันจากหน้าที่ทางธุรกิจที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างสมรรถภาพในด้านความแตกต่าง โดยเป็นการใช้กำลังแรงงาน ตั้งเป็นทีมข้ามหน้าที่ชั่วคราวซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคณะกรรมการ (Committees) เข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน, พัฒนาความคิดใหม่ๆ ร่วมมือกันแก้ปัญหาและทำโครงการที่ซับซ้อน ทีมข้ามหน้าที่ ต้องการเวลามากเพื่อสมาชิกจะต้องเรียนรู้งานที่แตกต่าง ซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้ใจ และสร้างการทำงานเป็นทีมเนื่องจาก แต่ละคนมาจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน

4. ทีมเสมือนจริง (Virtual Teams) ลักษณะการทำงานจะเป็นทีม แต่สภาพการทำงานจะแยกกันอยู่ ดังนั้นจึงต้องการระบบในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่มีประสิทธิภาพซึ่งอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทีมจะมุ่งเน้นความสำเร็จของงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงานร่วมกัน แต่จะมีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ด้านความรู้สึกทางสังคมในระดับต่ำ

***ข้อควรระวัง : การทำงานเป็นทีมไม่ได้เป็นคำตอบในการแก้ไขปัญหาเสมอไป เนื่องจากการทำงานเป็นทีมต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากกว่าการทำงานคนเดียว

ยกตัวอย่างเช่น
• ต้องเพิ่มการติดต่อสื่อสารมากขึ้น
• ต้องบริหารความขัดแย้งระหว่างกัน
• ต้องมีการจัดการประชุม
• ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
อย่างไรก็ตามในบางกรณีผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานเป็นทีมก็จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ดังนั้น ผู้บริหารต้องทำการประเมินว่างานใดควรทำคนเดียว และงานประเภทใดที่ต้องใช้ความร่วมมือของทีม

คำถาม 3 ข้อ เพื่อดูว่าควรใช้วิธีการทำงานเป็นทีมในการทำงานหรือไม่
1. งานนั้นสามารถทำได้ดีขึ้นหรือไม่ หากใช้คนมากกว่าหนึ่งคน
2. งานนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อทุกคนในกลุ่ม หรือ เพื่อคนใดคนหนึ่ง
3. การเลือกใช้ประเภทของทีมให้เหมาะสมกับสถานการณ์

อ้างอิง : http://arcm.rmu.ac.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

9 คำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประยุกต์ใช้ในการทำงานเป็นทีม


          สถาบันอัพ เทรนนิ่ง ขอน้อมนำ พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์และสิริมงคลแก่ชีวิต ซึ่งพระบรมราโชวาทที่คัดเลือกมานี้สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและแก้ไขปัญหาการทำงานได้ด้วย

1.คนดี
“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดี และคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
(พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11 ธันวาคม 2512)

2.อนาคตทำนายได้
“ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดที่เป็นอยู่แก่เราในวันนี้ ย่อมมีต้นเรื่องมาก่อน ต้นเรื่องนั้นคือ เหตุ สิ่งที่ได้รับคือ ผล และผลที่ท่านมีความรู้อยู่ขณะนี้ จะเป็นเหตุให้เกิดผลอย่างอื่นต่อไปอีก คือ ทำให้สามารถใช้ความรู้ที่มีอยู่ทำงานที่ต้องการได้ แล้วการทำงานของท่าน ก็จะเป็นเหตุให้เกิดผลอื่นๆ ต่อเนื่องกันไปอีก ไม่หยุดยั้ง ดังนั้นที่พูดกันว่า ให้พิจารณาเหตุผลให้ดีนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ให้พิจารณาการกระทำหรือกรรมของตนให้ดีนั่นเอง คนเราโดยมากมักนึกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรเราทราบไม่ได้แต่ที่จริงเราย่อมจะทราบได้บ้างเหมือนกัน เพราอนาคต ก็คือ ผลของการกระทำในปัจจุบัน”
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 8 กรกฎาคม 2519)

3.ความดี
“การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ความชั่วซึ่งทำได้ง่าย จะเข้ามาแทนที่และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็ซโดยไม่ทันรู้สึกตัว แต่ละคนจึงต้องตั้งใจและเพียรพยายามให้สุดกำลัง ในการสร้างเสริมและสะสมความดี”
(พระบรมราโชวาทพระราชทาน แก่ผู้สำเร็จการศึกษา ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ สวนอัมพร 14 สิงหาคม 2525)

4.การทำงาน
“เมื่อมีโอกาสและมีงานทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้ หรือเงื่อนไขอันใด ไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริงๆนั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใด ย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่ มีความขยัน และ ความซื่อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น”
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา 8 กรกฎาคม 2530)

5.คุณธรรมของคน
“ประการแรก คือ ความซื่อสัตย์ ประการที่สอง คือ การรู้จักข่มใจฝึกใจตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสัตย์ความดีนั้น ประการที่สาม คือ การอดทน อดกลั้น และอดออมที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัตย์สุจริต ประการที่สี่ คือ การรู้จักละวางความชั่ว ความทุจริต และรู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมคุณธรรมสี่ประการนี้ ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและบำรุงให้เจริญงอกงาม จะช่วยให้ประเทศชาติบังเกิดความสุขความร่มเย็นและมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนาให้มั่นคงก้าวหน้าต่อไป”
(พระบรมราโชวาท ในพิธีบรวงสรวง สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า 5 เมษายน 2535)

6.ความเพียร
“ความเพียรที่ถูกต้องเป็นธรรม และพึงประสงค์นั้นคือความเพียรที่จะกำจัดความเสื่อมให้หมดไป และระวังป้องกันมิให้เกิดขึ้นใหม่ อย่างหนึ่ง กับความเพียรที่จะสร้างสรรค์ความดีงาม ให้บังเกิดขึ้นและระวังรักษามิให้เสื่อมสิ้นไป อย่างหนึ่ง ความเพียรทั้งสองประการนี้ เป็นอุปการะอย่างสำคัญ ต่อการปฏิบัติตน ปฏิบัติงาน ถ้าทุกคนในชาติจะได้ตั้งตนตั้งใจอยู่ในความเพียรดังกล่าว ประโยชน์และความสุขก็จะบังเกิดขึ้นพร้อม ทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม”
(พระราชดำรัสพระราชทานในพิธีกาญจนาภิเษก ทรงครองราชย์ ครบ 50 ปี พ.ศ.2539)

7.แก้ปัญหาด้วยปัญญา
“ปัญหาทุกอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มีทางแก้ไขได้ ถ้ารู้จักคิดให้ดี ปฏิบัติให้ถูก การคิดได้ดีนั้น มิใช่การคิดได้ด้วยลูกคิด หรือด้วยสมองกล
เพราะโลกเราในปัจจุบันจะวิวัฒนาการไปมากเพียงใดก็ตาม ก็ยังไมมีเครื่องมืออันวิเศษชนิดใด สามารถขบคิดแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างสมบูรณ์
การขบคิดวินิจฉัยปัญหา จึงต้องใช้สติปัญญา คือคิดด้วยสติรู้ตัวอยู่เสมอ เพื่อหยุดยั้งและป้องกันความประมาทผิดพลาด และอคติต่างๆมิให้เกิดขึ้น
ช่วยให้การใช้ปัญญาพิจารณาปัญหาต่างๆ เป็นไปอย่างเที่ยงตรง ทำให้เห็นเหตุเห็นผลที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นกระบวนการได้กระจ่างชัด ทุกขั้นตอน”
(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 1 สิงหาคม 2539)

8. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ 
“คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้”
(พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2521)

9.พูดจริง ทำจริง
“ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม”
(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540)

ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ MThai News
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทฤษฎีการทำงานเป็นทีมแบบ ฝูงห่าน ผลัดกันนำ ผลัดกันตาม


 หากพิจารณาดูดีๆ กฎเกณฑ์ทางธรมชาติ ได้มอบปรัชญาและการดำรงชีวิตที่ละเอียดอ่อนและมหัศจรรย์ไว้ให้มนุษย์เสมอ ไม่ว่าจะเป็น วงจรขึ้น-ลงของพระอาทิตย์ ที่แสดงถึงโอกาสในการแสดงประโยชน์ของคนเราว่ามีทั้งขาขึ้นและขาลง ไม่มีใครรักษา อำนาจ และกอดความก้าวหน้า เอาไว้กับตัวเองได้ตลอดเวลา การทำงานทุกอย่างรวมไปถึงการกระทำต้องรู้จัก "จังหวะ" "เวลา" และ "โอกาส" รวมไปถึงการยอมรับความสามารถของตนเอง ไปจนถึงปรัชญายอดภูเขา ยิ่งสูงยิ่งหนาว ที่สอนให้คนเราพึงระวังเมื่อก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนตำแหน่ง"ยอดภูเขา" ที่สูงและลมแรง

          หลักการบินของฝูงห่านไซบีเรีย เป็นหนึ่งในต้นแบบที่ถูกนำปรับใช้เป็นจิตวิทยาองค์กร โดย โปรเฟซเซอร์ ดร. ลีโอนาร์ด โยง นักจิตวิทยา และวิทยากรชื่อดังชาวมาเลเซีย จากสถาบัน IITD โดยหยิบมาสร้าง "ทฤษฎีผู้นำ" โดยเรียนรู้วิธีการบินของฝูงห่าน ซึ่งแสดงถึงการทำงานเป็น"ทีม"

"หลักการบินของห่านไซบีเรียสอนถึงการทำงานเป็นทีม และสอนวิธีการทำงานร่วมกับผู้ร่วมงานคนอื่นๆ อย่างยุติธรรม หน่วยงานที่ต้องการความอยู่รอดและพัฒนาขององค์กรในยามที่ทรัพยากรมีอยู่จำกัดจำเป็นต้องมีร่วมแรงร่วมใจบินกันไปเป็นกลุ่ม ซึ่งจะทำให้องค์กรนั้นสามารถพัฒนาศักยภาพ ภายใต้ขีดความสามารถที่มี โดยที่ทุกฝ่ายต่างก็พอใจ ไม่เกิดความขัดแย้งและยังได้รับการพัฒนาความสามารถในตัวเองอยู่ตลอดเวลา" มร. โยง กล่าว
ในช่วงฤดูหนาวห่านไซบีเรียจะพากันอพยพย้ายถิ่นฐานเพื่อไปหากินในทำเลใหม่ที่อบอุ่นกว่า เนื่องจากในอาณาบริเวณแถบไซบีเรียนั้นเต็มไปด้วยน้ำแข็ง อากาศหนาวจนอุณหภูมิติดลบ

ด้วยความที่ถิ่นที่อยู่ของพวกมันอากาศหนาวจนหากินลำบากและไม่มีอาหารหลงเหลือเพียงพอสำหรับรองรับความเป็นอยู่ พวกห่านจึงต้อง ขวนขวาย หาทางออกด้วยการบินอพยพหนีกันไปเป็นฝูงร่วมหลายร้อยตัวด้วยสภาพที่ต้องเจอได้แก่ ระยะทางการบินหลายร้อยไมล์ การบินด้วยความเร็วอย่างสม่ำเสมอและไม่ได้หยุดพักผ่อน ณ บริเวณใดที่บินผ่านเลยแม้แต่นิดเดียว อาหารและกำลังที่จำกัด พวกมันมีวิธีการทำการกันอย่างไร? โดยไม่หยุดพักและบินกันไปอย่างสามัคคีเป็นกลุ่มก้อน
 
ข้อเท็จจริง ห่านทุกตัวมีวิธีการบินที่กางปีกเป็นรูปตัว V ห่านที่เป็นจ่าฝูง จะบิน นำ ห่านตัวอื่นๆ เพื่อ "ต้านกระแสลม" ลดแรงกระแทกจากลมที่พัดเข้ามาตลอดระยะการบิน

จากการพิสูจน์พบว่าการบินไปพร้อมๆ กันเป็นกลุ่มก้อนรูปตัว V อย่างพร้อมเพรียงกัน ห่านที่เป็นจ่าฝูงจะช่วยสามารถช่วยต้านลดแรงกระแทกและลดความเร็วที่ลมจะเข้ามาปะทะห่านตัวอื่นๆ ที่บินถัดกันไปเป็นลำดับ มากกว่าที่ห่านตัวใดตัวหนึ่งจะบินกันอย่างกระจัดกระจายหรือบินไปตัวเดียวหรือบินเดี่ยวๆ

บทเรียน จากการบินกางปีกเป็นรูปตัว V ของฝูงห่านแสดงถึงการออกแรงอย่างเต็มที่ของ "ห่านจ่าฝูง" รวมถึงทำงานกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนที่สมาชิกในทีมต้องมีการรับรู้ทิศทางการบินอย่างพร้อมเพรียงกันว่า ณ ขณะนี้การบินกันไปเป็นกลุ่มจะมีความเร็วเท่าไหร่? และมีทิศทางการบินอย่างไร?

ผู้บริหารจึงควรสื่อสารเป้าหมายในการทำงานและมีการสื่อสารกำกับผู้ร่วมงานในทีมงานทั่วทุกคนอยู่ตลอดเวลา ว่าขณะนี้อยู่ในระยะบินช้า บินเร็ว บินสูง บินต่ำ จะทำให้เกิดความเข้าใจใน ทิศทาง การทำงาน (Direction) และเกิดความเข้าใจกำหนดบทบาทช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ข้อเท็จจริง เมื่อมีห่านตัวใดตัวหนึ่งในฝูงรู้สึกเหนื่อยหรือบินด้วยความเร็วที่ ต่ำลง จากระดับการบินปกติ แรงต้านจากกระแสลมจะเกิดขึ้น ทางออกคือเคลื่อนย้าย "ห่านตัวนั้น" ไปบิน พยุงตัว หรือพักผ่อนอยู่ด้านหลังของแถว ซึ่งใช้กำลังและแรงในการบินน้อยกว่าการบินของห่านในตำแหน่งอื่นๆ

ส่วนห่านตัวอื่นๆ ที่ยังแข็งแรง ควรถูกขับเคลื่อนมาบินในตำแหน่ง ด้านหน้า เพื่อรับกับการฝ่าแรงของกระแสลมตลอดระยะเส้นทางที่ยาวไกล

บทเรียน ลักษณะการ บินพยุงตัว หรือการ บินสลับตำแหน่งหน้า - หลัง เป็นตัวแทนของการทำงานที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันว่า ในชีวิตการทำงานต้องมีการ หยุดเพื่อพักผ่อน หรือ ผลัดกันทำหน้าที่เป็นผู้นำ ผลัดกันทำหน้าที่เป็นผู้ตาม เนื่องจาก ไม่มีห่านตัวใดที่สามารถบินด้วยความเร็วสูงคงที่ได้อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา และในการทำงานเป็นทีม ก็ไม่มีห่านตัวใดที่ บินช้า และกินแรงห่านตัวอื่นๆ โดยการบินอยู่ในตำแหน่งท้ายโดยตลอด

ข้อเท็จจริง วิธีการบินของห่านข้อนี้จะทำให้เพื่อนร่วงงานในทีม ผลัดกันเป็นผู้ให้ และ ผลัดกันเป็นผู้รับ รวมไปถึง "ผลัดกันเป็นผู้นำ" และ "ผลัดกันเป็นผู้ตาม" ช่วยกันรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเต็มใจตลอดเวลา
ความจริงอีกข้อหนึ่งคือห่านทุกตัวต้องมีการพักผ่อนเพื่อออมแรงในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ตรงกับความเป็นจริงที่ว่าสภาพของห่านที่บินอย่างหักโหมตลอดเวลาโดยไม่รู้จักจังหวะในการพักผ่อน ห่านตัวนั้นในช่วงเวลาที่เหนื่อยอาจจะหมดแรงและอยากจะ หยุดบิน ไปเลย ซึ่งส่งผลกระทบให้กับการทำงานเป็นทีมเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตการทำงาน

ห่านที่ รู้จักวิธีการทำงาน ที่ถูกสุขอนามัยในระยะยาวและทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบินอย่างสม่ำเสมอการทำงานเป็นทีมต้อง "รู้จักจังหวะเวลา" ที่จะ บินผ่อน หรือจังหวะเวลาการบินแบบ ออกกำลังทุ่มเท อย่างเต็มที่ ห่านทุกตัวจึงจะสามารถมุ่งหน้าอพยพย้ายถิ่นจะมีการหมุนเวียนสลับกันและบินสลับตำแหน่งกัน ด้วยวิธีการ บินสลับตำแหน่งกันไป

           บทเรียน การทำงานร่วมกันไปเป็นทีม ทีมงานทุกคนต้องมีส่วนช่วยเหลือในผลงานกันอย่างเป็นกลุ่มก้อน ไม่มีใครที่สามารถทำงานหนักตลอดเวลาโดยที่ไม่มีช่วงเวลาในการ "เบรก" หรือพักผ่อนและก็ต้องไม่มีห่านตัวไหนในทีมที่สามารถบินอย่างเรื่อยๆ สบายๆ เหมือนบินอยู่ตัวเดียวโดดๆ บนฟ้า ในขณะที่ฝูงห่านตัวอื่นๆ กำลังบินขับเคลื่อนฝูงห่านมุ่งไปสู่หนทางข้างหน้าด้วยความเร็วสูงอย่างคงที่ตลอดระยะทางอันยาวไกลอย่างพร้อมเพรียงกัน

สาเหตุที่ฝูงห่านต้อง "บินสลับตำแหน่งกันไป" เกิดจากว่าตำแหน่ง "จ่าฝูง" เป็นตำแหน่งที่ต้องใช้แรงและพละกำลังมากที่สุดต้องมีการบินสลับบ้างบางจังหวะเพื่อการพักผ่อน การบินไปเป็นกลุ่มก้อนสามารถสะท้อนถึงความร่วมแรงร่วมใจในการทำงานเป็นทีมเวิร์ค ห่านตัวอื่นๆ ก็ต้องมีการใช้กำลัง ความสามารถและศักยภาพที่มีอยู่อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันห่านทุกตัวต่างก็รอคอยอย่างมีความหวังว่าหนทางข้างหน้ายังมีแหล่งน้ำและอาหารอันอุดมสมบูรณ์

ข้อเท็จจริง วิธีการบินเฉพาะตำแหน่งของห่านแต่ละตำแหน่งมีบทบาทและความรับผิดชอบไม่เท่ากัน การที่ห่านที่อยู่ตำแหน่งด้านหน้าที่เป็น จ่าฝูง ต้องใช้กำลังในการบินและต้องออกแรงมากที่สุดตลอดเวลาห่านที่บินอยู่แถวหลังก็ยังสามารถ บินพยุงตัว" หรือ "บินกางปีกอยู่เฉยๆ ในลักษณะผ่อนแรง วิธีการแบบ "การบินสลับตำแหน่งกัน" เป็นกระบวนการทำงานเป็นทีมที่สอนให้ฝูงห่านต่างฝ่ายต่างรับรู้ความรับผิดชอบและบทบาทหน้าที่ๆ ได้รับมอบหมายซึ่งกันและกันอย่างทั่วถึง

หากการทำงานเป็นกลุ่มไม่เคยมีปรากฏการณ์ "การผลัดเปลี่ยน" งานหมุนเวียนความรับผิดชอบกัน ห่านที่บินอยู่ข้างหลังก็จะอยากเปลี่ยนมาบินในตำแหน่งข้างหน้า ขณะเดียวกันห่านที่บินอยู่ตำแหน่งข้างหน้าก็อยากย้ายไปกำกับอยู่ข้างหลัง
 
บทเรียน การกำหนดวิธีการบิน "เฉพาะตำแหน่ง" ของห่าน สอนให้รู้ว่า "การทำงานเป็นกลุ่ม" ต้องมีการสื่อสารบทบาทและหน้าที่และกำหนดความรับผิดชอบซึ่งกันและกันตาม "ความสามารถ" และ "ตระหนัก" ถึงคุณค่าของตำแหน่งการบินของห่านแต่ละตัวว่ามีส่วนร่วมในการพัฒนาผลงานกันเป็นทีม

เพราะหากไม่มีการรับรู้และตระหนักถึงความสำคัญและหน้าที่ในการบินไปเป็นลักษณะรูปตัว V สลับกันไปแต่ละตำแหน่ง ห่านแต่ละตัวจะไม่รู้คุณค่าของ "ตำแหน่ง" ที่ตัวเองบินอยู่ และอยากที่จะบินเรียงแถวหน้ากระดาน เนื่องจากความต้องการกำกับการบินและต้องการได้รับ "การยอมรับ" ด้วยความเข้าใจที่ผิดว่า "ตำแหน่งจ่าฝูง เป็นตำแหน่งที่สามารถควบคุมทิศทางการบินของฝูงห่านทั้งหมดและบินได้ง่ายที่สุด

ในขณะเดียวกันห่านที่บินอยู่ตำแหน่ง "จ่าฝูง" ก็อยากย้ายไปบินอยู่ข้างหลังเนื่องจากไม่สามารถบินต้านกระแสลมโดยไม่หยุดพักตลอดเส้นทางการบิน จึงเกิดการบริหารงานเป็นทีมอย่างกลับข้างกันเป็นรูป < กลับข้าง เนื่องจากห่านที่เป็น จ่าฝูง ก็อยากจะเปลี่ยนตำแหน่งไปบินในลักษณะ "กำกับงานอยู่ด้านหลัง"
ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือทำให้ห่านที่บินอยู่ในตำแหน่งหลังสุดรับภาระมากที่สุดอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะมีการบินเปลี่ยนตำแหน่งการกำกับแถว
 
โปรเฟซเซอร์ ดร. โยง ยังบอกว่า "การบินไปเป็นกลุ่มของห่าน" ยังสอนให้ทีมงานรับรู้ไว้ในความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ลักษณะการบินไปเป็นกลุ่มอย่างถูกวิธี เมื่อมีห่านตัวใดตัวหนึ่งในทีมป่วย บาดเจ็บ หมดแรงหรือถูกยิงตกลงไป ห่านทั้งฝูงนั้นก็ยังสามารถบินกันไปเป็นกลุ่มก้อนอยู่ได้ตลอดเส้นทางการบิน

ที่มา : www.nationejobs.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทำงานอย่างไรให้ได้ใจลูกน้อง



การทำงานเป็นทีมที่เรียกว่า ทีมเวิร์ค นั้นจะต้องมีท้้งศาสตร์ และศิลป์
"ศาสตร์" คือความรู้ ความเข้าใจในงานที่ทำ
"ศิลป์" คือ ประสบการณ์ หรือความเชี่ยาญเป็นกรณีพิเศษ

ในมุมมองของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรง เรียกหลักธรรมสำหรับการทำงานเป็นทีม หรือสำหรับการสร้างทีมว่า "สังคหวัตถุ" ซึ่งมีอยู่ 4 ประการ ดังนี้
1. ให้ใจแก่ทีมงาน
2. สื่อสารด้วยปิยวาจา
3. จิตอาสาเป็นนิสัย
4. ก้าวไปพร้อมๆ กัน

ผู้นำที่รู้จักประยุกต์ใช้หลักการทั้ง 4 ข้อนี้ครบถ้วน เขาจะได้ใจของเพื่อนร่วมงาน เมื่อได้ใจก็ได้งาน จึงสำเร็จทั้งงาน และสำเร็จทุกงาน สำราญทั้งคน อันสอดคล้องกับทฤษฏีของการเป็นผู้นำชั้นยอดที่ปราญช์ท่านหนึ่งนิยามไว้ว่า "ผู้นำคือผู้ที่มีศิลปะในการใช้คน และเมื่องานสำเร็จทุกคนพอใจ"

คมธรรมประจำวันนี้ ก็คือ
ทีมที่ดีต้องมี ๔ องค์ประกอบ
1. ให้ใจแก่ทีมงาน
2. สื่อสารด้วยปิยวาจา
3. จิตอาสาเป็นนิสัย
4. ก้าวไปพร้อมๆ กัน
A good team consists of members who:
1. Are dedicated to the team.
2. Speak with kind words.
3. Are always ready to serve.
4. Take each step together.

ที่มา : พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี /ผู้เขียน UP Training
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทฤษฎี 2 ปัจจัยกับความผูกพันของพนักงาน

          ทฤษฎีแรงจูงใจอันหนึ่งที่มีชื่อเสียงก็คือ ทฤษฎีสองปัจจัย (Two-factor theory) ซึ่งแบ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความพึงพอใจในงาน และปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจในงาน ซึ่งในที่สุดก็จะส่งผลถึงความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน (Employee Engagement) ลองมาพิจารณาดูกันว่า แต่ละปัจจัยนั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง

โมเดลความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร ในมุมมองของทฤษฎีสองปัจจัย
1. Hygiene Factor ได้แก่
– ค่าตอบแทนและสวัสดิการ
– สภาพแวดล้อมในการทำงาน
– เครื่องมือและอุปกรณ์ที่สมกับบทบาทตำแหน่ง
– ความสัมพันธ์กับผู้จัดการ
– ทีมเวิร์คและความสัมพันธ์กับผู้ร่วมงาน

2. Motivators Factor ได้แก่
– ความพอดีกับวัฒนธรรมองค์กร
– เสียงพนักงานและการให้การยอมรับ
– ความสอดคล้องของแบรนด์
– ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
– งานที่มีความหมายและท้าทาย
– ความมีอิสระในการทำงาน

ที่มา : humanrevod.wordpress.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การพัฒนาจุดแข็งของพนักงาน เพื่อพัฒนาทีมงาน



1. ลิสต์รายการคุณสมบัติที่คุณคิดว่าจำเป็นต้องมีในการทำงานของพนักงานแต่ละตำแหน่ง เพื่อเป็นการกำหนดกรอบในเบื้องต้น เช่น ในตำแหน่งนี้ต้องการคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านคิดแคมเปญทางการตลาด การวิเคราะห์คู่แข่ง ทักษะการนำเสนอโครงการ ทักษะในการสื่อสาร ทักษะการเจรจาต่อรอง และการประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น


2. ให้พนักงานแต่ละคนสำรวจตนเอง และลิสต์จุดแข็งของตนเองออกมา
โดยอาจให้ไกด์ไลน์เป็นคำถาม อาทิ อะไรคือสิ่งที่เขาคิดว่าตนเองทำแล้วประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิต คุณสมบัติอะไรที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในเรื่องนั้น และเขาจะนำประสบการณ์นั้นมาพัฒนาการทำงานของเขาได้อย่างไร เมื่อพนักงานสามารถตอบคำถามข้างต้นได้ ก็จะลิสต์จุดแข็งของตนออกมาได้ง่ายขึ้น


3. นำลิสต์ของคุณกับของพนักงานมาเทียบกันเพื่อวิเคราะห์ว่า พนักงาน แต่ละคนควรได้รับการส่งเสริม
จุดแข็งในด้านไหน และจุดแข็งเขาอยู่ในระดับใด ควรได้รับการพัฒนาอย่างไร โดยให้เขาได้แสดงความคิดเห็นว่า เขาต้องการให้บริษัทสนับสนุนเขาในเรื่องดังกล่าวอย่างไร เช่น ให้เขาได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติม รวมทั้งฝึกฝนอย่างต่อเนื่องในสถานการณ์ที่หลากหลาย เพื่อให้เขาพัฒนาผลงานให้มีคุณภาพ และมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ตามเป้าหมายและการวัดผลที่กำหนดชัดเจน


          การสนับสนุนให้พนักงานได้ใช้ความสามารถในเชิงบวกของพนักงานอย่างเต็มที่ ช่วยให้พวกเขาทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น คุณอาจพบว่า ปัญหาพนักงานเบื่องาน ขาดความกระตือรืนร้น มีแนวโน้มลดลง และนำมาซึ่งอัตราการเข้า-ออกงานลดลงตามไปด้วย


ที่มา : เพจ Lean Supply Chain by TMB
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก