วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

10 เทคนิคในการเอาชนะความกลัวในการขาย



          คุณชอบงานขายมั๊ยครับ? ถ้าเป็นคุณจะตอบว่าอย่างไร ผมคิดว่าถ้าถาม 10 คน คงมีคนตอบว่าชอบไม่เกิน 2 คนแน่ครับ แปลกนะครับคนไทยส่วนใหญ่จะไม่ชอบงานขาย มองว่าเป็นงานที่จะต้องตากหน้าไปของ้อคนอื่น

          ซึ่งอันที่จริงแล้วงานขายเป็นงานที่จะสร้างรายได้ให้กับคุณได้อย่างไม่จำกัด และถ้าลองดูประวัติของมหาเศรษฐีของโลก ก็มีหลายคนที่ทำงานด้านการขาย และถ้าจะพูดถึงนิสัยใจคอหรือขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยแล้ว ยิ่งเหมาะที่จะทำงานขาย เพราะคนไทยเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน, เคารพผู้อาวุโส และโอบอ้อมอารี

          ซึ่งก็เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของนักขาย และที่สำคัญอีกประการคือการดำรงชีวิตทั่วไปของเรา ๆ ท่าน ๆ ก็เกี่ยวข้องกับงานขายอยู่ตลอด เช่น การทำงานบริษัททั่วไปก็เป็นงานการขายความคิด, การที่ลูก ๆ จะขอซื้อของก็ต้องพยายามโน้มน้าวใจเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ และยังมีกิจกรรมอีกมากมายในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับงานขาย แม้แต่นายกรัฐมนตรีกว่าจะได้ตำแหน่งมาก็ต้องเป็นการขายแนวนโยบายเพื่อเอาชนะใจประชาชนเช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่ามองข้ามงานขายนะครับ

          สำหรับท่านที่ไม่ชอบงานขายมักมีเหตุผลต่าง ๆ ร้อยแปด แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่มักเกิดกับคนส่วนใหญ่แต่ไม่ค่อยจะยอมรับกันคือ ความกลัว ไม่ว่าจะกลัวอะไรก็แล้วแต่ วันนี้ผมมีวิธีที่จะชนะความกลัวที่ว่าข้างต้นมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งมันอาจจะใช้เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาในการทำงานของคุณได้บ้างนะครับ

1. ต้องรู้ต้นกำเนิดของความกลัว
ข้อนี้สำคัญมาก ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่เรากลัวนั้นแท้ที่จริงคืออะไร ส่วนใหญ่แล้วการกลัวการขายจะมาจากหลายรูปแบบ เช่น กลัวสินค้าหรือบริการของเราอาจจะไม่เป็นเหมือนกับสิ่งที่เราได้บอกไป, กลัวการปฏิเสธจากลูกค้า หรืออาจจะเป็นหลาย ๆ อย่างรวม ๆ กัน ดังนั้นการที่รู้สิ่งที่เรากลัวที่แท้จริงคืออะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะกำจัดความกลัวออกไปเพื่อเอาขนะมันให้ได้

2. เข้าถึงต้นกำเนิดความกลัวและทำการแก้ไข
เมื่อรู้ว่าต้นกำเนิดความกลัวคืออะไรต้องรีบแก้ให้ตรงจุด เช่น กรณีที่ไม่มั่นใจในสินค้า ก็ต้องทำการปรับปรุงสินค้า ในทางปฏิบัติคุณอาจทำไม่ได้ด้วยตัวเอง แต่ก็อาจจะช่วยได้ด้วยการนำเอาผลการสำรวจความพอใจลูกค้าส่งให้กับเจ้าหน้าที่ของบริษัทเพื่อทำการปรับปรุงสินค้าต่อไป ส่วนในเรื่องความกลัวการปฏิเสธ ก็ทำได้ด้วยการสังเกตและศึกษาลูกค้าให้ดี และทำการเตรียมตัวให้ดีก่อนเข้าพบลูกค้าก็พอจะช่วยคุณได้เป็นอย่างดี

3. แสดงความกระตือรือร้นหรือตื่นเต้นต่อสิ่งที่คุณเสนอ
วิธีที่ดีวิธีหนึ่งที่หลายๆท่านเคยใช้ได้ผลต่อการเอาชนะความกลัวในการขายคือการแสดงความกระตือรือร้นต่อสิ่งที่คุณนำเสนอ ด้วยการจดรายการของผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่จะได้รับ, ตัวอย่างผู้ที่ประสบความสำเร็จ หรือความพึงพอใจของลูกค้าที่ได้รับจากการใช้สินค้า, บริการหรือสิ่งที่คุณกำลังเสนอ จำให้ขึ้นใจเพื่อใช้ในการนำเสนอออกไปให้กับลูกค้าของคุณต่อไป

4. ปรับเปลี่ยนมุมมอง
ลองทำการปรับเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการขาย ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจหรือลำบากใจในการขาย ด้วยการปรับให้เป็นการแบ่งปันสินค้าให้ลองใช้, การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์สินค้าหรือบริการ, การบอกเล่าประสบการณ์ที่ดีต่อสินค้าหรือบริการ หรือบอกเล่าประสบการณ์จากการใช้สินค้าหรือบริการของผู้ที่ได้ใช้แล้ว แทนการที่จะพยายามโน้มน้าวให้เกิดการซื้อ ซึ่งอาจจะทำให้คุณสบายใจขึ้นและพร้อมที่จะปฏิบัติมากกว่าการคิดว่าจะออกไปขายนะครับ

5. เริ่มแต่น้อย
บ่อยครั้งที่หลายท่านพยายามที่จะขายจำนวนหรือปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งทำให้กดดันตัวเองมากเกินไปจนทำให้เกิดความกลัวขึ้นในที่สุด ดังนั้นในการที่จะเอาชนะความกลัวนี้ได้ก็เพียงคุณเริ่มแต่น้อย เช่นเริ่มต้นธุรกิจด้วยการแนะนำให้กับเพื่อนสนิทบางคน และค่อยขยายต่อไปในวงกว้างขึ้น ๆ ต่อไป หลาย ๆ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จก็เริ่มจากเล็ก ๆ และค่อยๆ โตอย่างมั่นคง

6. ทำตามแนวทางแห่งความสำเร็จ
เก็บเป้าหมายแห่งความสำเร็จไว้ใกล้ตัวที่สามารถทบทวนได้เสมอ และทำการบันทึกผลการทำงานลงไปทุกวันเพื่อเปรียบเทียบและประเมินกับเป้าหมาย วิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานตามแนวทางได้อย่างถูกต้อง

7. สนุกกับงาน
อย่าเครียดกับงานจนมากเกินไป ควรจะทำงานด้วยความสนุกบ้าง หรือถ้ามีโอกาสก็หาวิธีที่จะบังปันกลับให้กับสังคมบ้าง เช่นการบริจากเงินหรือสิ่งของให้กับมูลนิธิหรือสมาคมบ้าง จะทำให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

8. มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย
หลาย ๆ ท่านที่ประสบความสำเร็จเพราะความมุ่งมั่นและโฟกัสต่อการที่จะไปให้ถึงเป้าหมายและผลประโยชน์ของตนที่วางแผนไว้ ต้องหมั่นเตือนตัวเองเสมอว่าเราต้องการอะไร, ทำไมเราจึงทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งก็จะช่วยให้คุณทำต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไปถึงสิ่งที่ฝันไว้

9. ละวางบ้าง
ในบางช่วงก็ต้องมีการละวางจากผลการทำงานบ้าง บางครั้งการที่เราจริงจังกับผลงานที่ออกมามากจนเกินไปก็อาจกดดันเรามากเกินไปได้ ซึ่งก็จะต้องละวางต่อผลงานลงบ้างในบางจังหวะ และหันมาทบทวนถึงวิธีการทำงานหรือความพยายามที่จะให้ได้ผลงานนั้นออกมา ว่าในระหว่างทางนั้นเราทำได้ดีหรือยัง ควรต้องปรับปรุงอะไรบ้างหรือไม่

10. หมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจใดหรือทำงานสาขาใดก็ตาม สิ่งที่คุณขาดไม่ได้คือการที่จะต้องหมั่นฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความชำนาญ และทักษะที่เพิ่มขึ้นต่อ ๆ ไป ไม่ว่าคุณจะเก่งเพียงใดก็ตาม ถ้าคุณหยุดนิ่งไม่ฝึกฝนหรือพัฒนาตัวเอง ในไม่ช้าคนอื่นก็แซงคุณอย่างแน่นอนครับ อย่าลืมนะครับว่าปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เพียงแค่หยุดนิ่ง คุณก็ล้าหลังแล้วครับ

          หวังเป็นอย่างยิ่งนะครับว่าบทความนี้พอจะเป็นเครื่องลางช่วยให้คุณคลายความกลัวและมีความมั่นใจในงานขายมากขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ

อ้างอิงจาก nanosoft.co.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เทคนิค 6P เพื่อความสำเร็จในการทำงาน



          ใครที่คิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเท่าที่ควร หรือล้มเหลวเมื่อปีที่ผ่านมา อย่าเพิ่งท้อค่ะ ลองค้นหาจุดบกพร่องของตัวเองแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมทั้งหาเทคนิควิธีการใหม่ๆมาปรับใช้ในการทำงานนะคะ ซึ่งก็มีเทคนิคในการทำงานดีๆที่เรียกว่า คาทา 6 P มาฝากค่ะ


1. P-Positive Thinking
คือ การมีทัศนคติที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ไม่คิดในทางลบ เช่น หากเจอปัญหาในการทำงาน แทนที่จะนั่งกลุ้มใจคิดว่าคราวนี้ต้องแย่แน่ ก็ให้มองว่า นี่เป็นหนทางหนี่งที่จะฝึกฝนให้เราเก่งกล้ามากยิ่งขึ้น


2. P-Peaceful Mind
คือ การมีจิตใจที่สงบ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า “จงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” หรือเปล่าคะ คำพูดนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว เวลาเกิดปัญหาขึ้น เราอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับปัญหานั้น การมีจิตใจที่สงบ มีสมาธิ จะทำให้เราเกิดปัญญาในการคิดหาวิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้ ยังทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วยนะคะ


3. P-Patient
คือ การมีความอดทน คาถาข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อที่แล้วนะคะ เพราะการที่เราจะมีจิตที่สงบได้ เราต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ระงับอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีต่างๆ หากสิ่งใดไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ เราก็ต้องอดทนรอคอยให้ถึงช่วงเวลาของเรา นอกจากนี้ยังต้องอดทนต่อปัญหาและความยากลำบากในการทำงานด้วยนะคะ


4. P-Punctual
คือ การเป็นคนตรงต่อเวลา มนุษย์เราได้ถูกปลูกฝังให้เป็นคนมีวินัย รู้จักตรงต่อเวลามาตั้ง แต่ยังเป็นเด็ก เช่น การไม่มาโรงเรียนสาย ส่งการบ้านให้ตรงเวลา ในการทำงานก็เช่นกัน หากเรามาทำงานสาย เจ้านายคงไม่ชอบแน่ๆ แล้วยิ่งถ้าเราผิดนัดลูกค้า ผลเสียคงตามมาอีกเป็นกระบุง แม้แต่เวลายังรักษาไม่ได้ เจ้านายหรือลูกค้าคงไม่ไว้ใจให้เราทำงานใดๆแล้วละค่ะ


5. P-Polite
คือ การเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นคนสุภาพนอบน้อมจะทำให้มีแต่คนรักใคร่ และอยากช่วยเหลือนะคะยิ่งถ้าเรามีตำแหน่งใหญ่โตด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีความสุภาพอ่อนน้อมเพราะ
จะทำให้ผู้อื่นยิ่งเกรงใจเรามากขึ้นค่ะ ตรงกันข้าม การทำตัวกระด้างกระเดื่อง หยาบคาย หยิ่งยโส ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคม และไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วยค่ะ


 
6. P-Professional
คือ ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน การที่เรามีหน้าที่อะไร เราก็ควรทำตัวให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในหน้าที่นั้นๆ หมั่นแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และหมั่นฝึกปรือฝีมือในการทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด การทำงานอย่างมืออาชีพ จะเป็นที่ชื่นชมและไว้วางใจของเจ้านาย รวมไปถึงลูกค้าที่ย่อมจะพอใจ และไว้วางใจให้เราดูแลงานของเขาต่อไปค่ะ


คาทา 6 P ที่นำมาฝากนี้ อยากให้คุณผู้อ่านนำไปปฏิบัติให้เป็นนิสัยนะคะ รับรองว่ามันจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างแน่นอนค่ะ


ที่มา : catholic.or.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ลักษณะอุปนิสัยในการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จ



          หากถ้าศึกษาดูคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกซึ่งเราอาจจะพบว่าการใช้ชีวิตของเขาแตกต่างกับคนทั่วไปมาก ซึ่งการที่พวกเขาประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้เกิดจากความคิดหรือการกระทำเท่านั้นแต่เกิดจากสิ่งที่เขามีคล้ายๆกันคือ อุปนิสัย ซึ่งพวกเขาต้องผ่านอุปสรรค์มากมายในการสร้างนิสัยของความสำเร็จจนทุกวันนี้ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ซึ่งความสำเร็จที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวกับเรื่อง ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง เรามักจะมองกันว่าผู้ที่มีหน้าที่การงานดี มีตำแหน่งสูง ร่ำรวยเงินทอง คือผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มาดูกันว่าพวกเขามีอุปนิสัยอย่างไร ในการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จ


1. ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน
หากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องใช้ความมุ่งมั่นที่จะทำให้ลุล่วงสำเร็จตามระยะเวลาที่เราได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งการตั้งเป้าหมายเป็นการสร้างภาพความสำเร็จซึ่งจะทำให้เรานั้นสามารถมองเห็นปลายทางของป้าหมายได้อย่างชัดเจนและรับรู้ถึงความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นที่กำลังจะเข้ามาในอีกไม่ช้า ซึ่งจะช่วยเป็นแรงผลักดันอย่างดีในการทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จตามเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้และสำเร็จเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไร ก็อย่าลืมที่จะตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองเสมอ หรือแม้แต่การดำรงชีวิตประจำวัน ก็ต้องมีเป้าหมายสูงสุดที่ต้องการ เพื่อเป็นแรงผลักดัน ให้เราพยายามที่จะเดินตามเป้าหมายมากขึ้นนั่นเอง


2. โฟกัสงานทีละอย่าง
เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วอีกอย่างหนึ่งที่เราควรให้ความสำตัญกบสิ่งที่เรากำลังทำให้มากที่สุด เมื่อเรามีเป้าหมายเราควรที่จะโฟกัสสิ่งที่เราทำในจุดๆนั้นอย่างทุ่มเทความพยายามความสามารถทั้งหมดที่มีอย่างอดทนและไม่ยอมแพ้จนกว่าสิ่งที่เราทำนั้นจะสำเร็จผล ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วไปที่ไม่มีการโฟกัสสิ่งที่กำลังทำ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ได้ทำทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเขา สำหรับใครที่มักจะชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน ควรเลิกนิสัยนั้นโดยด่วน เพราะถึงแม้ว่ามันจะทำให้สำเร็จไปพร้อมๆ กันได้เร็วขึ้น แต่การทำหลายๆ สิ่งในเวลาเดียวกัน ก็มักจะก่อให้เกิดปัญหาและไม่ได้อะไรสักอย่างมากกว่าที่จะทำสำเร็จด้วยซ้ำ


3. ทุกวินาทีมีความสำคัญ
พวกเขามองว่า เวลาทุกวินาทีนั้นมีค่าสำหรับพวกเขาเสมอ พวกเขาใช้เวลาอย่างมีคุณค่า พยายามรักษาเวลาเพื่อใช้เวลาที่มีแต่ละวินาทีอย่างคุ้มค่าให้มากที่สุดให้กับตัวเอง ซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไร้ประโยชน์ส่วนใหญ่ไปกับ Social Media นั่นเองซึ่งแตกต่างจากพวกเขามาก ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จเหมือนบุคคลที่ได้ประสบความสำเร็จไปแล้วล่ะก็ คุณควรใช้ทุกวินาที ทุกเวลาให้มีประโยชน์ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือให้เวลากับคนที่สำคัญสำหรับคุณก็ตาม


4. รายจ่ายต้องน้อยกว่ารายได้
เป็นธรรมดาที่หลายครอบครัวนั้นมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ซึ่งจะต้องไปกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายส่งผลให้มีหนี้สินที่ตามมาอีก คนส่วนใหญ่ที่มักมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างเกินตัวเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นเช่น ซื้อรถใหม่ ซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้น แนะนำว่า อย่าออมจากเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย แต่ต้องใช้จ่ายจากเงินที่เหลือจากการออมจะดีกว่า ซึ่งหากคุณมักจะมีปัญหารายจ่ายสูงกว่ารายได้บ่อยๆ ล่ะก็ แนะนำให้บริหารจัดการเงินที่ต้องใช้จ่ายออกเป็นส่วนๆ โดยกำหนดว่าต้องใช้เท่าไหร่ต่อวัน เพื่อบังคับตัวเองไม่ให้ใช้จ่ายเกินจากนั้นนั่นเอง


5. เรียนรู้และพัฒนาตัวเองเสมอ
ยิ่งเรามีความรู้มากขึ้นเราจะยิ่งสามารถประสบความสำเร็จได้มากขึ้นแน่นอน การทำงานหนักอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างสูงได้ แต่คุณสามารถเพิ่มคุณค่าโดยวิธีต่างๆ ของตัวคุณ อาจจะเริ่มต้นจากการเพิ่มคุณค่าให้กับตัวคุณเอง เลือกที่จะเรียนรู้ ค้นหาสิ่งใหม่ๆ ฝึกฝนทักษะใหม่ๆและหาประสบการณ์ใหม่ ให้กับตัวคุณเองเสมอ


6. ไม่ยอมแพ้อุปสรรค
ทุกวันนี้เป็นเรื่องที่ไม่แปลกที่หลายคนพยายามที่จะตามหาความฝันของตัวเอง ตามที่ตนเองได้วาดฝันขึ้นไว้ การที่เราจะไปให้ถึงฝันนั้น บางครั้งเราอาจะพบอุปสรรค์ต่างที่เข้ามา บางครั้งทำให้หลายคนถึงกับรู้สึกเหนื่อย อ่อนแอ มีท้อบ้าง ไม่อยากที่จะเดินตามหาความฝันที่ตนเองนั้นตั้งใจไว้ หากอยากประสบความสำเร็จได้นั้นอาจจะผ่านความล้มเหลวความผิดพลาดมานับไม่ถ้วน เป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ก็สามารถก้าวผ่านจุดนั้นมาได้ ลุกขึ้นยืนได้เสมอ เมื่อเราไม่ยอมพ่ายแพ้กับอุปสรรค์ เราก็จะสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองจากความล้มเหลว ความผิดพลาดที่ผ่านมา


7. ใจกว้างมีน้ำใจ
พวกเขาไม่ได้เพียงสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง แต่พวกเขานั้นกลับสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นเป็นสำคัญ เลือกที่จะยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น แบ่งบัน ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน นับว่าเป็นมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นนอกจากงานเก่งแล้ว ก็ต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีด้วย


       หากทุกคนได้ทำความเข้าใจกับการฝึกนิสัยทั้ง 7 ข้อข้างต้น เมื่อคุณนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันควบคู่ไปกับการทำงานรับรองได้เลยว่า คุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานแน่นอนซึ่งจะทำให้ได้พบกับความสุขที่แท้จริงอย่างแน่นอน


ที่มา : moneyhub.in.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

5 หลุมพรางให้การทำงานของคุณไม่มีประสิทธิภาพ



          วันนี้ผู้เขียนรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจที่อยากจะเขียนบางอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเงิน แต่หากสิ่งที่เขียนต่อไปนี้ก็อาจจะมีส่วนที่ช่วยส่งเสริมให้การเงินของคุณดีขึ้นไม่มากก็น้อย นั่นคือ เรื่องที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำงาน


หลายคนนั้นเป็นคนเก่ง มีความสามารถที่หลากหลายจึงส่งผลให้หน้าที่การงานเติบโตขึ้น แต่บางคนอาจจะไม่ได้เป็นคนเก่ง ทำงานไปวันๆโดยไม่ได้มีเป้าหมายอะไรกับชีวิต จึงมักจะไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน แต่ทั้งนี้หลุมพรางบางอย่างก็เป็นเหมือนกับดักที่ทำให้การทำงานของคุณไม่มีประสิทธิภาพอย่างเพียงพอ สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นความจริงที่เกิดขึ้น จึงอยากให้ผู้อ่านลองสำรวจตัวเองว่าเรากำลังตกอยู่ในหลุมพรางเหล่านี้หรือไม่ หากเรากำลังอยู่ในหลุมพรางเหล่านี้ ให้นำตัวเองออกมาให้เร็วที่สุด


มองแง่บวกตลอด การมีความคิดหรือมองแง่บวกถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ในการทำงานความคิดแง่บวกส่งผลต่อการทำงานโดยตรง เพราะการที่เราทำงานหรือโปรเจ็คใดโปรเจ็คหนึ่ง แต่เรามองทุกอย่างเป็นภาพที่เราคิดว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามแผนการที่เราวางไว้ ไม่มีผิดพลาดหรือพลาดเป้าแน่นอน ทุกอย่างเราควบคุมได้ เราเก่ง แต่ไม่ได้มีแผนการสำรองหรือมองเลยว่าหากเกิดเหตุการณ์บางอย่างระหว่างทางจะแก้ไขอย่างไร การมองสถาการณ์ให้แย่ที่สุดจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ดีกว่าการมองทุกอย่างดีหมดไม่มีข้อผิดพลาด เช่นเดียวกันการทำงานก็ต้องวางแผนอย่างรัดกุมปิดประตูทุกช่องที่อาจจะส่งผลร้ายต่อการทำงานของเรา


ข้ามาคนเดียว การทำงานแบบทีมเป็นการระดมกำลังและความคิดเพื่อให้งานทุกชิ้นนั้นราบรื่น แต่ในบางครั้งการทำงานแบบข้ามาคนเดียว หรือไม่สนใจคนในทีม เพราะคิดว่าตนเองทำงานคนเดียวได้ดีกว่าการทำงานแบบกลุ่ม ถือเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก โดยเฉพาะงานที่จะต้องทำแบบกลุ่ม จะต้องมีการปรึกษาหารือและระดมความคิดกัน จึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในงานนั้นๆ เพราะการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจะช่วยเปิดมุมมองที่เราคิดไม่ถึง หรือแนวทางใหม่ๆที่อาจจะช่วยให้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างงานได้รับการแก้ไข


หมดเวลาไปกับ Social ต่างๆ การพักผ่อนหย่อนใจระหว่างการทำงานเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ในบางครั้งการให้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระมากจนเกินไประหว่างการทำงาน ก็ทำให้งานออกมาไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ก้มหน้านั่งเช็ค Line ทุกสิบนาที, เปิด Facebook ทุก 5 นาทีว่ามีใครมาตอบเมน์เราไหม, แอบดูหนังเกาหลีในระหว่างทำงาน เป็นต้น ซึ่งการทำงานเราควรที่จะมีความตั้งใจในการทำงาน มุ่งมั่นกับงานตรงหน้า ส่วนเรื่องของ Social ต่างๆ ควรจัดเวลาระหว่างวันว่าควรจะเปิดดูเปิดอ่านในช่วงเวลาไหน เช่น พักเที่ยง หรือ ทุก 2 ชั่วโมงอาจจะพักสัก 10 นาที นั่งอ่าน Line, Facebook ฟังเพลงบ้าง เพื่อให้สมองได้ผ่อนคลาย แต่การให้เวลากับสิ่งเหล่านี้จนงานไม่เดินจะส่งผลให้ผลผลิตของงานล่าช้าและไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด


เป้าหมายการทำงานที่ไม่ชัดเจน การทำงานจะต้องมีเป้าหมายว่างานนี้จะต้องมีวิธีการทำอย่างไร และสุดท้ายแล้วผลของงานนี้จะออกมาในรูปแบบไหน การวางแผนและจัดวางเป้าหมายของงานที่กำลังทำจะช่วยให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าการไม่มีแผนและทำไปตามคำสั่งของหัวหน้า หัวหน้าบอกให้ทำแบบนี้ก็ทำไปตามคำสั่ง แต่เราต้องมีการวางแผนและเรียนรู้ที่จะนำสิ่งใหม่ๆเข้ามาช่วยเติมหรือช่วยเสริมให้งานนั้นออกมาดูดีที่สุด อย่าทำเป็นเหมือนหุ่นยนต์

จับกลุ่มนินทาเพื่อนร่วมงาน พฤติกรรมเหล่านี้มีทุกองค์กรไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก และเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่จะต้องมีกลุ่มเล็กกลุ่มย่อยในองค์กร การจับกลุ่มนั่งนินทาหยอกล้อกันในที่ทำงานอาจจะเป็นเรื่องปรกติของทุกองค์กร แต่ในแง่ของการทำงานแล้วนั้น การเพิ่มดีกรีจากการนั่งนินทาส่งผลให้เรามีทัศนคติไม่ดีต่อบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ทำให้เราไม่อยากจะดีลงานด้วย หรือพยายามเลี่ยงจะประสานงาน จนทำให้งานชะงักไม่ไหลลื่น เพราะเข้าหน้าไม่ติด เนื่องจากได้ยินคนนั้นพูดอย่างงั้นอย่างนี้ ไม่อยากยุ่งด้วยเดี่ยวโดนแบนออกจากลุ่ม การติเพื่อก่อ เป็นเรื่องที่ดีแต่การพูดให้ร้ายกันก็อาจจะส่งผลต่อองค์กรในระยะยาว


          จากทั้งหมดทั้งมวลเป็นการรวบรวมอุปสรรคหรือหลุมพรางแบบชัดเจนที่สุด ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน หากคุณมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กล่าวมานี้ ให้ทำการปรับเปลี่ยนทันที เพราะจากข้างต้นที่ทิ้งคำถามไว้ว่าเกี่ยวอะไรกับงานเงิน คำตอบง่ายๆ คือ หากงานคุณมีประสิทธิภาพไม่เข้าตา ล่าช้า คุณจะได้รับเงินเดือนขึ้นหรือไม่ และเมื่อไหร่คุณจะได้เลื่อนตำแหน่ง หรือคุณต้องการจะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมตลอดไปอย่างนั้นหรือ อย่าให้หลุมพรางที่กล่าวมา เป็นอุปสรรคในการทำงานของคุณ ปรับเปลี่ยนวิธีคิดและมุ่งมั่นกับงานที่ทำให้ดีที่สุดในแต่ละวัน สิ่งใดพลาดไปก็แก้ไขและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเสมอ


ที่มา : moneyhub.in.th
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

6 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการประชุมทีมงาน




          ทำไมเราต้องมีการประชุมกันด้วย? วัตถุประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร? อาจเป็นเพราะเราไม่สามารถทำโปรเจคนี้คนเดียวได้ หรือไม่สามารถคิดทั้งโปรเจคคนเดียวได้ เป็นงานที่ต้องช่วยกันทำ ระดมความคิด ระดมสมองกัน และต้องการการตัดสินใจร่วมกัน
          บางคนคงมีประสบการณ์ที่ว่าจัดประชุมกี่ครั้ง ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ จนในบางครั้งก็เกิดคำถามในใจหลายคำถามด้วยกัน เช่น นี่จ้างมาประชุมหรือเปล่า? เราประชุมกันไปนั้น เราได้อะไรจากการประชุมบ้าง เราใช้เวลาคุ้มค่าหรือไม่? แล้วผลของการประชุมแต่ละครั้งที่เราต้องการนั้น เราได้ตามที่ต้องการจริง ๆ หรือไม่? แล้วถ้าเราจะทำให้การประชุมมีประสิทธิภาพมากขึ้นเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ


1. วาระในการประชุมต้องชัดเจน
วาระการประชุมเปรียบเสมือนเป็นการกระตุ้นให้ผู้ที่ต้องร่วมประชุมวางแผนล่วงหน้า และเตรียมการก่อนที่จะประชุม และควรจะต้องระบุให้ชัดเจนว่าเมื่อจบการประชุมครั้งนี้ จะต้องได้บทสรุปอะไรจากที่ประชุม เพื่อที่จะให้สมาชิกทุกคนเห็นเป้าหมาย และดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน


2. กำหนดระยะเวลาการประชุม
การกำหนดระยะเวลา เป็นการทำให้ผู้ร่วมประชุมทุกคนโฟกัสที่วาระการประชุมมากขึ้น รวมถึงได้บทสรุปของที่ประชุม ภายในระยะเวลาที่กำหนด มีการจำกัดระยะเวลาที่จะใช้ในการประชุมให้ชัดเจน เช่น 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง เป็นต้น


3. ผู้ร่วมประชุมคือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
การเชิญเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้น ทำให้การประชุมไม่ยืดเยื้อ ได้คำตอบในเรื่องของการทำงาน ผู้จัดประชุมจะทราบอยู่แล้วว่า การประชุมแต่ละครั้งนั้น ใครเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง การตามงาน หรือสอบถามข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในที่ประชุม ก็จะง่ายยิ่งขึ้น


4. ตรงต่อเวลา
การตรงต่อเวลาเป็นลักษณะของผืที่มีความรับผิดชอบ มีวินัย และยังเป็นการให้เกียรติผู้ร่วมประชุมท่านอื่นอีกด้วย และต่อเนื่องจากการกำหนดระยะเวลาประชุม หากการประชุมนั้นถูกเลื่อนไปด้วยการรอให้ครบองค์ประชุม ก็จะเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และเสียบรรยากาศการประชุมอีกด้วย


5. เปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น
สิ่งสำคัญในการประชุมคือการตัดสินใจร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุดด้วยการระดมข้อมูล ระดมความคิด ดังนั้นการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุมจึงหัวใจ และตอบโจทย์จุดประสงค์ของการจัดประชุม


6. ถ้าคิดว่ายังไม่พร้อม อย่าจัดประชุม
หากประธานที่ประชุม ทราบว่าสมาชิกไม่พร้อมในการประชุมนัดนี้ และมีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นการเสียเวลาเปล่า ก็จะเลื่อนการประชุมนี้ออกไป เพราะการมาประชุมแบบไม่ได้เตรียมข้อมูลอะไรมาเลย แล้วมาหาข้อมูลต่าง ๆ ณ ที่ประชุม จะเป็นการเสียเวลาอย่างยิ่ง เสียทั้งเวลาในการทำงาน และภาพลักษณ์ในการทำงาน


          การประชุมจะประสบความสำเร็จได้นั้นผู้ร่วมประชุมทุกคนจะต้องเคารพกฎเกณฑ์ของที่ประชุม รวมถึงรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ไม่ควรนำที่ประชุมออกนอกเรื่อง เราก็จะไม่ต้องใช้เวลาในการประชุมยาวนานเกินความจำเป็น สุดท้ายแล้วผลงานที่ออกมาก็จะมากด้วยประสิทธิภาพ และความสามัคคีในทีมอีกด้วย


อ้างอิงจาก : jobsdb.com
UP Training  อ่านบทความอื่นๆ คลิก